การจัดฟันคืออะไร
การจัดฟัน คือ การรักษาทางทันตกรรมที่เน้นการแก้ไขการเรียงตัวของฟันที่ไม่ปกติ เช่น ฟันเก ฟันซ้อน ฟันห่าง หรือการสบฟันที่ไม่เหมาะสม การจัดฟันช่วยปรับปรุงลักษณะการเรียงตัวของฟันและขากรรไกรให้สมดุลและสวยงาม โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการจัดฟันเรียกว่า “เครื่องมือจัดฟัน” ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น
- เหล็กจัดฟันแบบโลหะ (Metal braces): เป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำจากโลหะ ประกอบด้วยแบร็กเก็ตที่ติดบนผิวฟันและใช้ลวดดึงฟันเพื่อให้ฟันเคลื่อนไปในตำแหน่งที่ต้องการ
- เหล็กจัดฟันแบบเซรามิก (Ceramic braces): มีลักษณะคล้ายกับเหล็กจัดฟันแบบโลหะ แต่แบร็กเก็ตทำจากเซรามิกโปร่งแสงเพื่อให้มีสีใกล้เคียงกับสีฟัน ทำให้ดูไม่ชัดเจนมาก
- การจัดฟันแบบใส (Invisalign): ใช้เครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติกใส สามารถถอดออกได้สะดวกกว่า
การจัดฟันไม่เพียงแต่ช่วยให้ฟันเรียงตัวดีขึ้น แต่ยังช่วยปรับปรุงสุขภาพช่องปากและการทำงานของฟัน เช่น การบดเคี้ยวที่ดีขึ้น และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการเรียงตัวของฟันที่ไม่ปกติ
ทำไมต้องจัดฟัน
การจัดฟันมีความสำคัญเนื่องจากช่วยแก้ปัญหาทางทันตกรรมและส่งผลดีต่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตในหลายด้าน ดังนี้:
- แก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟัน
ฟันที่เรียงตัวไม่ถูกต้อง เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง หรือฟันยื่น สามารถส่งผลกระทบต่อการเคี้ยวอาหาร การพูด และลักษณะการยิ้ม การจัดฟันช่วยให้ฟันเรียงตัวดีขึ้น ทำให้ดูสวยงามและเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง - ปรับปรุงการสบฟัน
การสบฟันที่ไม่ถูกต้อง เช่น ฟันบนและฟันล่างไม่สบกันอย่างเหมาะสม สามารถทำให้เกิดปัญหาการเคี้ยวอาหารและความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อขากรรไกร การจัดฟันช่วยปรับปรุงการสบฟันให้ถูกต้อง - ส่งเสริมสุขภาพช่องปาก
ฟันที่เรียงตัวไม่ดีสามารถทำให้ยากต่อการทำความสะอาดฟันได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้เกิดฟันผุ โรคเหงือก และการสะสมของคราบจุลินทรีย์ การจัดฟันช่วยให้ฟันเรียงตัวดีขึ้นและทำความสะอาดง่ายกว่า - ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฟันและขากรรไกรในอนาคต
การเรียงตัวของฟันที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดแรงกดที่ไม่เหมาะสมบนฟันและขากรรไกร ส่งผลให้เกิดการสึกของฟัน หรือปัญหาข้อต่อขากรรไกร (TMJ) การจัดฟันสามารถช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ - ช่วยในกรณีฟันหายหรือฟันขึ้นไม่ตรง
การจัดฟันช่วยแก้ไขปัญหาฟันที่ขึ้นไม่ตรงหรือมีช่องว่างระหว่างฟัน ทำให้การเคี้ยวและการทำงานของฟันมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การจัดฟันเหมาะกับใคร
การจัดฟันเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียงตัวของฟันและการสบฟัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากและความมั่นใจในตัวเอง โดยทั่วไปแล้ว การจัดฟันเหมาะสมสำหรับบุคคลดังต่อไปนี้:
1. ผู้ที่มีฟันเกหรือฟันซ้อน
- ฟันเก (Crowded teeth): ฟันที่มีพื้นที่ไม่พอสำหรับการเรียงตัวทำให้ฟันซ้อนกัน การจัดฟันช่วยปรับตำแหน่งฟันให้เรียงตัวเป็นระเบียบ ลดโอกาสเกิดฟันผุและโรคเหงือกจากการทำความสะอาดที่ยากขึ้น
2. ผู้ที่มีฟันห่าง
- ฟันห่าง (Spaced teeth): ฟันที่มีช่องว่างระหว่างซี่ฟันมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากการถอนฟัน การเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกร หรือปัจจัยทางพันธุกรรม การจัดฟันสามารถช่วยปิดช่องว่างเหล่านี้ได้
3. ผู้ที่มีปัญหาการสบฟันผิดปกติ (Malocclusion)
การสบฟันผิดปกติเป็นปัญหาที่ขากรรไกรบนและล่างไม่สามารถสบกันได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้การเคี้ยวอาหารหรือการพูดไม่เป็นธรรมชาติ และอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ในระยะยาว เช่น การปวดขากรรไกรและปวดหัว ประเภทของการสบฟันผิดปกติที่พบบ่อย ได้แก่:
- ฟันล่างครอบฟันบน (Underbite): ฟันล่างยื่นมาครอบฟันบน
- ฟันบนครอบฟันล่าง (Overbite): ฟันบนครอบฟันล่างมากเกินไป
- ฟันสบเปิด (Open bite): เมื่อกัดฟันแล้วฟันหน้าบนและฟันหน้าล่างไม่สามารถสัมผัสกันได้
- ฟันไขว้ (Crossbite): ฟันบางซี่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ฟันบางซี่ยื่นออกไปข้างนอกหรือลึกเข้ามาเกินไป
4. ผู้ที่มีปัญหาการพูดหรือการเคี้ยวอาหาร
- ฟันที่เรียงตัวผิดปกติอาจส่งผลต่อการพูดไม่ชัดเจน หรือทำให้เคี้ยวอาหารได้ยาก การจัดฟันสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยการปรับตำแหน่งฟันให้สมดุลมากขึ้น
5. ผู้ที่มีปัญหาการกรนหรือการหายใจผิดปกติระหว่างนอน
- การจัดฟันอาจช่วยแก้ปัญหาการหายใจระหว่างนอนได้ในบางกรณี เช่น การขยายเพดานปากในเด็กเพื่อให้ระบบทางเดินหายใจกว้างขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดการกรนหรือปัญหาการหายใจผิดปกติในตอนนอน
6. เด็กที่มีปัญหาการเจริญเติบโตของขากรรไกร
- ในเด็กที่ยังอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต การจัดฟันอาจช่วยแก้ไขปัญหาการพัฒนาขากรรไกรที่ผิดปกติ ซึ่งสามารถช่วยปรับรูปหน้าและการสบฟันให้ดีขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขยากเมื่อโตขึ้น
7. ผู้ที่ต้องการเสริมความมั่นใจในตัวเอง
- นอกจากการปรับปรุงสุขภาพช่องปากแล้ว การจัดฟันยังช่วยให้ฟันเรียงตัวสวยงามและเพิ่มความมั่นใจในการยิ้ม ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่หลายคนตัดสินใจจัดฟัน
8. ผู้ที่เคยใส่รีเทนเนอร์แล้วฟันเคลื่อนกลับ
- ในบางกรณีที่เคยจัดฟันแล้วแต่ไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์ตามคำแนะนำ ฟันอาจเคลื่อนกลับมาสู่ตำแหน่งเดิม การจัดฟันซ้ำจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมในการแก้ไขฟันที่เคลื่อนตัวอีกครั้ง
ใครที่ไม่เหมาะกับการจัดฟัน:
- ผู้ที่มีสุขภาพช่องปากไม่ดี: หากมีปัญหาฟันผุหรือโรคเหงือกที่รุนแรง ควรได้รับการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพช่องปากก่อนที่จะทำการจัดฟัน
- ผู้ที่ไม่สามารถดูแลทำความสะอาดฟันได้ดีพอ: การจัดฟันต้องการการดูแลที่ใส่ใจมากขึ้น หากไม่สามารถรักษาความสะอาดได้ดี อาจเกิดฟันผุหรือโรคเหงือกได้ง่าย
โดยสรุป การจัดฟันเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียงตัวของฟัน การสบฟัน หรือปัญหาขากรรไกร โดยทันตแพทย์จะประเมินและให้คำแนะนำว่าควรจัดฟันหรือไม่
ดูแลสุขภาพช่องปาก ดูแลสุขภาพฟัน จัดฟันอุบล ฟันสวย ยิ้มใส
การจัดฟันมีกี่แบบ
การจัดฟันมีหลายแบบ ซึ่งสามารถแบ่งออกตามชนิดของเครื่องมือและวิธีการจัดฟันที่ใช้ โดยการเลือกแบบใดขึ้นอยู่กับสภาพฟัน ความต้องการของผู้จัดฟัน และคำแนะนำของทันตแพทย์ ต่อไปนี้คือประเภทหลักๆ ของการจัดฟัน:
1. การจัดฟันแบบโลหะ (Metal Braces)
- ลักษณะ: ใช้แบร็กเก็ตโลหะติดที่ฟันและเชื่อมด้วยลวดโลหะ ซึ่งจะถูกปรับโดยทันตแพทย์เพื่อเคลื่อนฟันเข้าสู่ตำแหน่งที่เหมาะสม
- ข้อดี: แข็งแรงและทนทานมาก เหมาะสำหรับการจัดฟันในเคสที่ซับซ้อน
- ข้อเสีย: สังเกตเห็นได้ง่ายและอาจรู้สึกไม่สบายในช่วงแรกๆ หรือเมื่อปรับลวด
2. การจัดฟันแบบเซรามิก (Ceramic Braces)
- ลักษณะ: แบร็กเก็ตทำจากวัสดุเซรามิกที่มีสีใกล้เคียงกับฟัน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติกว่าโลหะ
- ข้อดี: มองเห็นได้ไม่ชัดเจนมากเมื่อเทียบกับโลหะ จึงดูสวยงามกว่า
- ข้อเสีย: แบร็กเก็ตเซรามิกเปราะบางกว่าและมีโอกาสแตกหักมากกว่า รวมถึงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
3. การจัดฟันแบบใส (Invisalign)
- ลักษณะ: ใช้ชุดเครื่องมือจัดฟันแบบใส (aligner) ที่สามารถถอดออกได้ ทำจากพลาสติกใสที่ปรับให้เข้ากับฟันแต่ละคน
- ข้อดี: มองไม่เห็นจากภายนอก และสามารถถอดออกเมื่อทานอาหารหรือแปรงฟัน ทำให้สะดวกในการดูแลความสะอาด
- ข้อเสีย: ไม่เหมาะสำหรับเคสที่มีปัญหาฟันซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูง และผู้ใส่ต้องมีวินัยในการใส่ aligner ให้ครบตามเวลาที่ทันตแพทย์แนะนำ
4. การจัดฟันแบบ Damon System (Damon Braces)
- ลักษณะ: แบร็กเก็ตที่ออกแบบมาให้ลวดเคลื่อนตัวได้โดยไม่ต้องใช้ยางรัด ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทานและแรงดึงฟัน ทำให้ฟันเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- ข้อดี: เจ็บน้อยกว่า ใช้ระยะเวลาการจัดฟันสั้นกว่า และทำความสะอาดง่ายกว่าเนื่องจากไม่มีการใช้ยางรัด
- ข้อเสีย: แม้ว่าจะเจ็บน้อยกว่า แต่ก็ยังคงมองเห็นแบร็กเก็ตได้อยู่
การเลือกประเภทของการจัดฟันขึ้นอยู่กับ:
-สภาพฟันของแต่ละบุคคล: ปัญหาการเรียงตัวของฟัน ขนาดและรูปร่างของขากรรไกร
-ความต้องการด้านความสวยงาม: บางคนต้องการให้เครื่องมือจัดฟันดูเป็นธรรมชาติหรือต้องการจัดฟันที่มองไม่เห็น
-งบประมาณ: การจัดฟันแต่ละประเภทมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
-คำแนะนำของทันตแพทย์: ทันตแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำว่าประเภทการจัดฟันแบบไหนเหมาะสมที่สุดตามปัญหาของผู้ป่วย
เตรียมตัวก่อนจัดฟัน
การเตรียมตัวก่อนการจัดฟันเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและราบรื่น ต่อไปนี้คือขั้นตอนและการเตรียมตัวที่ควรทำก่อนการจัดฟัน:
1. ปรึกษาทันตแพทย์จัดฟัน
- ก่อนการจัดฟัน ควรเข้าพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันเพื่อตรวจฟันและขากรรไกร ตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการประเมินความเหมาะสมในการจัดฟัน
- ทันตแพทย์จะถ่ายภาพฟัน และเอ็กซ์เรย์เพื่อดูโครงสร้างขากรรไกรและฟัน เพื่อใช้วางแผนการรักษา
2. เตรียมฟันให้พร้อม
- การรักษาฟันผุ: หากมีฟันผุหรือปัญหาในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ ควรรักษาให้เสร็จก่อนเริ่มจัดฟัน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการจัดฟัน
- การถอนฟัน: ในบางกรณีทันตแพทย์อาจต้องแนะนำให้ถอนฟัน เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับการจัดเรียงฟัน โดยเฉพาะกรณีที่ฟันเกหรือฟันซ้อนกันมาก
3. การทำความสะอาดฟัน
- ก่อนเริ่มจัดฟัน ควรเข้ารับบริการขูดหินปูนหรือทำความสะอาดฟันอย่างละเอียด เพื่อให้ฟันสะอาดและปราศจากคราบจุลินทรีย์ที่อาจส่งผลเสียต่อการจัดฟัน
4. การเตรียมตัวด้านการเงิน
- การจัดฟันเป็นการรักษาที่ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่าย ควรปรึกษากับคลินิกหรือโรงพยาบาลเกี่ยวกับแผนการชำระเงินที่สามารถทำได้ในระยะยาว และตรวจสอบประกันสุขภาพที่อาจครอบคลุม
5. ทำความเข้าใจขั้นตอนการจัดฟัน
- ทันตแพทย์จะอธิบายขั้นตอนการจัดฟัน รวมถึงวิธีการดูแลรักษาและสิ่งที่ต้องปฏิบัติระหว่างการจัดฟัน เช่น การทำความสะอาดฟัน การปรับเครื่องมือจัดฟัน และระยะเวลาที่ต้องใส่เครื่องมือ
6. เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในการกินอาหาร
- หลังจากเริ่มจัดฟัน อาจมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการกินอาหาร เพราะเครื่องมือจัดฟันอาจทำให้รู้สึกไม่สะดวกในช่วงแรก ควรเตรียมตัวสำหรับการรับประทานอาหารที่นิ่มและหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เช่น หมากฝรั่ง หรือถั่ว
7. ตั้งใจดูแลสุขภาพช่องปาก
- การจัดฟันจะทำให้การทำความสะอาดฟันยากขึ้น ดังนั้นควรเตรียมตัวสำหรับการดูแลช่องปากอย่างใกล้ชิด โดยแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ
8. เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าพบแพทย์บ่อยครั้ง
- ในระหว่างการจัดฟัน จะต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟันและตรวจสอบความก้าวหน้า
เมื่อเตรียมตัวตามขั้นตอนเหล่านี้ จะทำให้การจัดฟันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ยิ้มสวย จัดฟันอุบล สวยตรงปก โปรจัดฟันดี ราคาสบาย
ขั้นตอนการจัดฟัน
1. การปรึกษาและวางแผนการรักษา
- การตรวจสอบเบื้องต้น: ทันตแพทย์จะตรวจดูการเรียงตัวของฟันและขากรรไกร รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ฟันเก ฟันห่าง หรือการสบฟันที่ผิดปกติ
- การเอ็กซ์เรย์และถ่ายภาพ: ทันตแพทย์จะถ่ายภาพฟันและเอ็กซ์เรย์เพื่อดูโครงสร้างขากรรไกรและตำแหน่งของฟัน
- การพิมพ์ฟัน: ทำแบบพิมพ์ฟันเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
2. การเตรียมฟันก่อนจัดฟัน
- รักษาฟันผุและทำความสะอาดฟัน: ฟันจะต้องปราศจากฟันผุหรือหินปูนก่อนการติดเครื่องมือจัดฟัน ดังนั้นหากมีฟันผุหรือหินปูน ทันตแพทย์จะทำการรักษาหรือขูดหินปูนก่อน
- การถอนฟัน (ถ้าจำเป็น): หากมีฟันซ้อนเกหรือไม่มีพื้นที่พอสำหรับการเคลื่อนฟัน ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ถอนฟันเพื่อเพิ่มพื้นที่
3. การติดเครื่องมือจัดฟัน
- การติดแบร็กเก็ต: แพทย์จะติดแบร็กเก็ตบนฟันแต่ละซี่ โดยใช้กาวเฉพาะทางทันตกรรม แบร็กเก็ตนี้ทำหน้าที่เป็นจุดยึดสำหรับลวดที่ใช้ในการเคลื่อนฟัน
- การใส่ลวดจัดฟัน: ลวดจัดฟันจะถูกใส่ผ่านแบร็กเก็ตและปรับให้เหมาะสมกับฟันแต่ละคน ลวดนี้จะเป็นตัวช่วยในการดึงฟันให้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ถูกต้อง
- การใช้ยางดึงฟัน (ถ้าจำเป็น): ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจใช้ยางดึงฟันเพื่อช่วยดึงฟันไปในทิศทางที่ต้องการ
4. การปรับเครื่องมือจัดฟัน (ระหว่างการรักษา)
- ต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับลวดหรือเปลี่ยนลวดให้ฟันเคลื่อนตามแผนที่วางไว้ การปรับเครื่องมือจัดฟันอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายเล็กน้อยในช่วงแรก แต่จะหายไปภายในไม่กี่วัน
5. การดูแลระหว่างการจัดฟัน
- ทำความสะอาดฟันและเครื่องมือจัดฟัน: ต้องแปรงฟันอย่างละเอียดหลังอาหารทุกมื้อและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำเพื่อป้องกันฟันผุและคราบจุลินทรีย์สะสม
- หลีกเลี่ยงอาหารแข็งและเหนียว: เช่น หมากฝรั่ง ข้าวโพดคั่ว และอาหารที่แข็งมาก เพราะอาจทำให้แบร็กเก็ตหรือเครื่องมือจัดฟันหลุดหรือเสียหายได้
6. การถอดเครื่องมือจัดฟัน
- เมื่อฟันเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ต้องการแล้ว ทันตแพทย์จะทำการถอดเครื่องมือจัดฟันออก
- หลังจากถอดเครื่องมือ จะมีการทำความสะอาดฟันและขัดฟันเพื่อลบรอยคราบกาวที่ติดแบร็กเก็ต
7. การใส่รีเทนเนอร์ (เครื่องมือคงสภาพฟัน)
- หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว ฟันอาจจะเคลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิม ดังนั้น ทันตแพทย์จะให้ใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
- รีเทนเนอร์อาจจะเป็นแบบถอดได้หรือแบบติดถาวร ขึ้นอยู่กับกรณีของผู้ป่วย
8. การติดตามผลหลังการจัดฟัน
- ทันตแพทย์จะนัดหมายเพื่อตรวจสอบผลหลังการจัดฟันและการใส่รีเทนเนอร์เป็นระยะๆ เพื่อตรวจดูว่าฟันยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
จัดฟันครั้งแรกกินอะไรได้บ้าง
หลังจากจัดฟันครั้งแรก คุณอาจรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บบริเวณฟันและขากรรไกร ทำให้การกินอาหารบางอย่างลำบาก ควรเลือกกินอาหารที่นิ่มและไม่ต้องเคี้ยวมาก เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือทำลายเครื่องมือจัดฟัน ต่อไปนี้คืออาหารที่เหมาะสมในช่วงแรกหลังการจัดฟัน:
อาหารที่แนะนำ:
- โจ๊กหรือข้าวต้ม
อาหารเหล่านี้นิ่มและง่ายต่อการกลืน ไม่ต้องเคี้ยวมาก จึงเหมาะสำหรับช่วงที่ฟันยังเจ็บ - ซุปหรือแกงจืด
เลือกซุปที่ไม่ร้อนเกินไป ซุปหรือแกงจืดเป็นอาหารเหลวที่สามารถทานได้ง่าย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย - โยเกิร์ต
โยเกิร์ตเป็นอาหารที่นิ่มและเย็น ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บในปากได้ - ไข่ตุ๋นหรือไข่คน
ไข่ตุ๋นมีความนิ่มและโปรตีนสูง เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการทานในช่วงฟันเจ็บ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงแรก:
- อาหารแข็งหรือเหนียว เช่น เนื้อสัตว์ที่แข็ง หมากฝรั่ง ลูกอม หรืออาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก
- อาหารกรุบกรอบ เช่น ข้าวโพดคั่ว มันฝรั่งทอด หรือขนมกรอบๆ
- อาหารที่มีความเป็นกรดสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว (ส้ม มะนาว) เพราะอาจทำให้ฟันรู้สึกระคายเคืองมากขึ้น
เมื่อฟันเริ่มปรับตัว คุณสามารถค่อยๆ กลับมาทานอาหารปกติได้ แต่อย่าลืมดูแลความสะอาดของฟันและเครื่องมือจัดฟันเป็นพิเศษ
เหล็กดัดฟันหลุดง่ายไหม
เหล็กดัดฟัน (หรือแบร็กเก็ต) โดยปกติจะติดแน่นกับฟัน แต่มีโอกาสหลุดได้หากมีการใช้งานหรือดูแลไม่ถูกวิธี สาเหตุที่เหล็กดัดฟันอาจหลุดง่ายเกิดจากหลายปัจจัย ดังนี้:
สาเหตุที่ทำให้เหล็กดัดฟันหลุดง่าย:
- การกินอาหารที่แข็งหรือเหนียว
อาหารแข็ง เช่น น้ำแข็ง ลูกอม หรือถั่ว และอาหารเหนียว เช่น หมากฝรั่ง ขนมเคี้ยวหนึบ อาจทำให้แบร็กเก็ตหลุดได้ เพราะแรงกัดหรือการเคี้ยวอาหารเหล่านี้สามารถดึงให้แบร็กเก็ตหรืออุปกรณ์จัดฟันคลายหรือแตกได้ - การกระแทกหรืออุบัติเหตุ
การกระแทกที่บริเวณปากหรือฟัน เช่น การเล่นกีฬาโดยไม่มีการป้องกัน หรือการหกล้ม อาจทำให้เหล็กดัดฟันหลุดหรืองอ - การแปรงฟันแรงเกินไป
หากแปรงฟันแรงหรือใช้แปรงฟันที่แข็งเกินไป อาจทำให้แบร็กเก็ตหรือลวดจัดฟันเกิดการเคลื่อนหรือหลุดได้ ดังนั้น ควรเลือกแปรงที่มีขนนุ่มและแปรงเบาๆ รอบๆ แบร็กเก็ต - การใช้ฟันเคี้ยวของแข็ง
การใช้ฟันกัดสิ่งของแข็งๆ เช่น เล็บ ฝาขวด หรือปากกา อาจทำให้เหล็กดัดฟันหลุดหรือเสียหาย
วิธีป้องกันเหล็กดัดฟันไม่ให้หลุด:
- หลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียว: เพื่อป้องกันแบร็กเก็ตและลวดดัดฟันไม่ให้หลุด ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องเคี้ยวแรงๆ หรือแข็งมาก
- ใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่มและแปรงอย่างระมัดระวัง: ใช้แปรงขนนุ่มและแปรงฟันอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเครื่องมือจัดฟันติดอยู่
- ใส่เครื่องป้องกันฟันเมื่อเล่นกีฬา: ถ้าคุณเล่นกีฬาหรือมีกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการกระแทกฟัน ควรใช้เครื่องป้องกันฟัน (mouthguard) เพื่อป้องกันการกระแทกที่อาจทำให้แบร็กเก็ตหรือลวดดัดฟันหลุด
หากเหล็กดัดฟันหลุด ควรทำอย่างไร:
- เก็บชิ้นส่วนที่หลุดและพบทันตแพทย์: หากแบร็กเก็ตหรือลวดหลุดออกมา ควรเก็บชิ้นส่วนนั้นและนำไปให้ทันตแพทย์ตรวจและติดใหม่
- พบทันตแพทย์ทันที: เพื่อไม่ให้การจัดฟันหยุดชะงัก ควรนัดหมายกับทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทำการซ่อมแซมหรือปรับเครื่องมือ
การดูแลรักษาและระมัดระวังในการกินอาหารและทำกิจกรรมจะช่วยให้เหล็กดัดฟันติดทนนานและลดโอกาสการหลุด
ทำไมคนจัดฟันชอบนอนน้ำลายไหล
การนอนน้ำลายไหลในคนที่จัดฟันอาจเกิดจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงภายในช่องปากและฟันในช่วงที่ใส่เครื่องมือจัดฟัน นี่คือสาเหตุหลักๆ:
1. การระคายเคืองจากเครื่องมือจัดฟัน
- เครื่องมือจัดฟัน เช่น แบร็กเก็ต ลวด และยางดึงฟัน อาจสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อบุในช่องปากและกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายทำงานมากขึ้น น้ำลายจึงถูกผลิตออกมามากกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของการจัดฟันหรือหลังการปรับลวด
2. การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของฟันและการสบฟัน
- การจัดฟันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงการเรียงตัวของฟันและการสบฟัน ซึ่งอาจส่งผลให้การปิดปากไม่สนิทในขณะนอนหลับ ทำให้น้ำลายไหลออกมาง่ายขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีการอ้าปากหายใจระหว่างนอน
3. การเพิ่มปริมาณน้ำลาย
- การมีเครื่องมือจัดฟันในปากเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับร่างกาย จึงอาจกระตุ้นการผลิตน้ำลายมากกว่าปกติ เพื่อล้างสิ่งแปลกปลอมออกจากปาก แต่ในกรณีนี้ น้ำลายจะไม่ได้ถูกกลืนลงไปทั้งหมดในระหว่างที่นอนหลับ จึงเกิดการไหลออกจากปาก
4. การเปลี่ยนท่านอน
- ในช่วงที่จัดฟัน คนอาจจะนอนในท่าที่ไม่สบายตามปกติ เนื่องจากการระคายเคืองจากเครื่องมือจัดฟัน การนอนในท่าที่อ้าปากอาจทำให้เกิดน้ำลายไหลได้ง่ายขึ้น
5. การปรับตัวของร่างกาย
- ในช่วงแรกของการจัดฟัน ร่างกายอาจต้องใช้เวลาปรับตัวกับเครื่องมือใหม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำลายไหลในช่วงนอนหลับได้ อย่างไรก็ตาม อาการนี้มักจะลดลงเมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินกับการมีเครื่องมือจัดฟัน
วิธีบรรเทาอาการนอนน้ำลายไหล:
- ปรับท่านอน: ลองนอนหงายเพื่อลดการอ้าปากที่อาจทำให้น้ำลายไหล
- ดูแลสุขภาพช่องปาก: การรักษาความสะอาดของช่องปากจะช่วยลดการระคายเคืองและการผลิตน้ำลาย
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำมากพอช่วยลดความเหนียวของน้ำลาย และทำให้สามารถกลืนน้ำลายได้ง่ายขึ้น
- ปรึกษาทันตแพทย์: หากมีอาการน้ำลายไหลอย่างรุนแรง ทันตแพทย์สามารถให้คำแนะนำและตรวจสอบว่ามีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือจัดฟันหรือไม่
น้ำลายไหลขณะนอนหลับเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจัดฟัน และอาการมักจะลดลงเมื่อร่างกายปรับตัวกับเครื่องมือ
จัดฟันทำให้หน้าเรียวขึ้นไหม
การจัดฟันสามารถทำให้ใบหน้าดูเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงดูเรียวขึ้นในบางกรณี แต่ผลลัพธ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ต่อไปนี้คือเหตุผลและปัจจัยที่อาจทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นหลังจัดฟัน:
1. การปรับเปลี่ยนตำแหน่งฟันและขากรรไกร
- การจัดฟันจะช่วยจัดเรียงฟันใหม่และปรับการสบฟัน ซึ่งในบางกรณีอาจช่วยปรับตำแหน่งของขากรรไกรให้เข้าที่มากขึ้น เมื่อขากรรไกรบนและล่างปรับสมดุล การเรียงตัวของกระดูกหน้าอาจเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวหรือได้รูปมากขึ้น
2. การแก้ไขฟันยื่นหรือฟันเก
- หากมีปัญหาฟันยื่นหรือฟันเก การจัดฟันสามารถช่วยดึงฟันให้เข้ามาในตำแหน่งที่เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สมส่วนมากขึ้น ฟันที่เรียงตัวดีขึ้นทำให้โครงสร้างของใบหน้าดูได้รูปมากกว่าเดิม
3. การลดการเกร็งของกล้ามเนื้อขากรรไกร
- ในบางกรณีที่มีการสบฟันที่ผิดปกติ อาจทำให้กล้ามเนื้อขากรรไกรทำงานหนักและทำให้เกิดความตึงเครียดในกล้ามเนื้อ เมื่อการจัดฟันช่วยให้การสบฟันดีขึ้น กล้ามเนื้อขากรรไกรก็จะผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูเรียวลงเล็กน้อย
4. ผลของการดึงฟันและการถอนฟัน
- หากการจัดฟันมีการถอนฟันเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ฟันเรียงตัวดีขึ้น การดึงฟันเหล่านี้อาจทำให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีการเคลื่อนฟันไปในตำแหน่งใหม่ที่เหมาะสม ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวและสมดุลมากขึ้น
5. การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อใบหน้า
- เมื่อฟันและขากรรไกรเคลื่อนเข้าที่ อาจมีผลทำให้เนื้อเยื่อบริเวณรอบขากรรไกรและปากปรับตัว ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวและได้สัดส่วนมากขึ้น
ข้อจำกัด:
- ไม่ใช่ทุกคนที่จัดฟันแล้วหน้าเรียว: ผลลัพธ์ของการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับลักษณะฟันและขากรรไกรเดิมของแต่ละคน ถ้าฟันและขากรรไกรไม่มีปัญหาใหญ่ หรือไม่ได้มีการเคลื่อนฟันและขากรรไกรมาก ผลต่อรูปร่างของใบหน้าอาจจะไม่ชัดเจนมากนัก
- ไม่ใช่วิธีหลักในการทำให้หน้าเรียว: หากเป้าหมายหลักคือการทำให้หน้าเรียว การจัดฟันอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ตรงจุดสำหรับทุกคน การจัดฟันเป็นการแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและการสบฟันเป็นหลัก
ดังนั้น การจัดฟันสามารถทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นได้ในบางกรณี แต่ขึ้นอยู่กับสภาพฟันและขากรรไกรเดิมของแต่ละคน และไม่ใช่ผลลัพธ์ที่สามารถคาดหวังได้เสมอไป