รักษารากฟันอุบลราชธานี ปรึกษาสุขภาพฟันกับคุณหมอ

อย่าปล่อยให้ปัญหาฟันสร้างความเจ็บปวด มาพบเราเพื่อแก้ไขปัญหาฟันแบบถาวร

การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) เป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ใช้ในการรักษาเนื้อเยื่อภายในฟัน (เนื้อฟันหรือโพรงประสาท) ที่ติดเชื้อหรือมีความเสียหาย ซึ่งขั้นตอนการรักษาประกอบด้วย:

  1. การตรวจสอบ: ทันตแพทย์จะตรวจสอบฟันด้วยการเอกซเรย์เพื่อตรวจหาการติดเชื้อและความเสียหายที่มีอยู่
  2. การฉีดยาชา: เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายและไม่เจ็บปวดระหว่างการรักษา
  3. การเปิดฟัน: ทันตแพทย์จะเปิดช่องภายในฟันเพื่อเข้าถึงเนื้อเยื่อที่เสียหาย
  4. การกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ: เนื้อเยื่อที่เสียหายจะถูกนำออกอย่างระมัดระวัง
  5. การทำความสะอาด: ช่องรากฟันจะถูกทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ
  6. การอุดฟัน: หลังจากทำความสะอาดแล้ว ช่องรากจะถูกอุดด้วยวัสดุพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  7. ในบางกรณีอาจต้องทำการครอบฟันเพื่อเสริมความแข็งแรงและปกป้องฟัน

การรักษารากฟันช่วยป้องกันการสูญเสียฟันและบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดจากการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมต้องรักษารากฟัน

การรักษารากฟันมีความจำเป็นในหลายกรณี เพื่อป้องกันการสูญเสียฟันและปัญหาสุขภาพช่องปากอื่น ๆ โดยสาเหตุหลักที่ต้องรักษารากฟันมีดังนี้:

  1. การติดเชื้อในโพรงประสาทฟัน: เมื่อฟันมีการผุ ลึกจนถึงโพรงประสาทฟัน เชื้อแบคทีเรียอาจเข้าสู่เนื้อเยื่อภายในฟัน ทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบ ซึ่งหากไม่รักษา เชื้อโรคอาจแพร่กระจายไปยังกระดูกขากรรไกรและอวัยวะข้างเคียงได้
  2. ป้องกันการสูญเสียฟัน: การติดเชื้อที่รากฟันหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ต้องถอนฟัน การรักษารากฟันเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ฟันยังคงอยู่ในช่องปาก และยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ
  3. บรรเทาอาการปวด: การอักเสบหรือติดเชื้อในรากฟันอาจทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง การรักษารากฟันช่วยลดอาการปวดได้ทันทีหลังจากทำการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออก
  4. ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค: หากไม่รักษารากฟัน เชื้อแบคทีเรียอาจแพร่กระจายไปยังฟันซี่อื่น ๆ หรือกระดูกรอบฟัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะรุนแรงเช่น หนองในโพรงฟัน
  5. ช่วยรักษาสุขภาพช่องปาก: การรักษารากฟันเป็นการรักษาที่ช่วยให้ฟันยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุหรือปัญหาในอนาคต

การรักษารากฟันจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการสูญเสียฟันและรักษาความสมบูรณ์ของสุขภาพฟันในระยะยาว

ฟันผุแค่ไหนถึงต้องรักษารากฟัน

ฟันผุที่ต้องรักษารากฟันคือฟันที่ผุจนลึกถึงชั้นโพรงประสาทฟัน ซึ่งอยู่ในส่วนกลางของฟันและเป็นที่อยู่ของเส้นประสาทและหลอดเลือด การผุลึกถึงขั้นนี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบในโพรงประสาทฟัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ต้องทำการรักษารากฟัน โดยทั่วไปแล้ว ฟันผุที่ต้องรักษารากฟันมีลักษณะดังนี้:

  1. ฟันผุที่ลึกถึงเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟัน: ฟันผุในชั้นนี้จะลุกลามผ่านชั้นเคลือบฟันและชั้นเนื้อฟันลงไปถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือทำให้เส้นประสาทฟันเสียหาย
  2. ฟันผุที่ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง: ฟันผุลึกมักทำให้เกิดอาการปวดฟันแบบเฉียบพลันหรือปวดแบบเรื้อรัง อาจปวดในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือต่อเนื่อง อาการปวดมักเกิดขึ้นเมื่อดื่มน้ำเย็น อุ่น หรือรับประทานอาหารรสหวาน
  3. ฟันผุที่ทำให้เกิดอาการบวมและเป็นหนอง: หากฟันผุไปถึงโพรงประสาทฟันและเกิดการติดเชื้อ แบคทีเรียอาจสะสมและทำให้เกิดหนองรอบ ๆ รากฟัน ซึ่งอาจทำให้เหงือกบวมและอาจแพร่กระจายไปยังกระดูกขากรรไกร
  4. ฟันผุที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น: ในกรณีที่ฟันผุไม่สามารถรักษาได้ด้วยการอุดฟัน เพราะโพรงประสาทฟันได้รับความเสียหายรุนแรง จำเป็นต้องรักษารากฟันเพื่อป้องกันการสูญเสียฟัน

หากฟันผุอยู่ในระดับลึกและเกิดอาการดังกล่าว ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำการรักษารากฟันทันที

ฟันแบบไหนที่รักษารากฟันไม่ได้

ฟันบางประเภทอาจไม่สามารถรักษารากฟันได้ หรือการรักษารากฟันอาจไม่เหมาะสมและต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การถอนฟัน สาเหตุที่ทำให้ฟันไม่สามารถรักษารากฟันได้มีดังนี้:

  1. ฟันที่แตกหักรุนแรง: ฟันที่แตกหักจนถึงรากฟัน หรือแตกเป็นสองซีกจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ การรักษารากฟันอาจไม่เพียงพอที่จะรักษาฟันให้แข็งแรงได้ และอาจต้องถอนฟันแทน
  2. ฟันผุลึกเกินไปจนทำลายโครงสร้างฟัน: หากฟันผุถึงขั้นที่เนื้อฟันและโครงสร้างฟันส่วนใหญ่เสียหายจนไม่สามารถฟื้นฟูหรือสร้างใหม่ได้ การรักษารากฟันอาจไม่มีประโยชน์ และฟันอาจต้องถูกถอนออก
  3. รากฟันติดเชื้อซ้ำหลายครั้ง: หากเคยรักษารากฟันแล้วเกิดการติดเชื้อซ้ำ หรือรากฟันที่เคยรักษามีปัญหาเรื้อรัง การรักษารากฟันซ้ำอาจไม่ได้ผล ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ถอนฟันแทนการรักษาซ้ำ
  4. ปัญหาที่รากฟันและกระดูกขากรรไกร: หากมีการสูญเสียกระดูกขากรรไกรมาก หรือรากฟันอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถรักษาได้ เช่น รากฟันที่มีรูปร่างซับซ้อน ทำให้การรักษาทำได้ยาก การถอนฟันอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
  5. ภาวะฟันโยกอย่างรุนแรง: ฟันที่มีอาการโยกมากจากปัญหาโรคเหงือก (เช่น โรคปริทันต์) อาจทำให้ฟันไม่สามารถอยู่ในช่องปากได้อย่างมั่นคง แม้จะรักษารากฟันไปแล้ว ฟันนั้นก็อาจยังไม่แข็งแรงพอที่จะใช้ได้
  6. ฟันที่มีรากฟันมากเกินไปหรือมีความผิดปกติทางโครงสร้าง: บางครั้งฟันอาจมีรากฟันที่มีรูปร่างซับซ้อนเกินไปหรือมีหลายราก การทำความสะอาดและรักษาทั้งหมดอาจทำได้ยาก หรือในบางกรณีอาจไม่สามารถเข้าถึงรากฟันทั้งหมดได้

หากฟันอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถรักษารากฟันได้ การถอนฟันและการใส่ฟันเทียมหรือสะพานฟันอาจเป็นทางเลือกที่ทันตแพทย์จะแนะนำ

ข้อดีของการรักษารากฟัน

การรักษารากฟันมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาฟันไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดเชื้อหรือปัญหาในโพรงประสาทฟัน ข้อดีหลัก ๆ ของการรักษารากฟันมีดังนี้:

  1. ช่วยรักษาฟันธรรมชาติ: การรักษารากฟันช่วยให้ฟันธรรมชาติยังคงอยู่ในช่องปาก ไม่ต้องถอนออก ทำให้ฟันยังทำหน้าที่ในการบดเคี้ยวและเสริมความมั่นคงของโครงสร้างปากและฟัน
  2. ลดอาการปวด: เมื่อโพรงประสาทฟันติดเชื้อหรืออักเสบ จะทำให้เกิดอาการปวดฟันอย่างรุนแรง การรักษารากฟันช่วยกำจัดเชื้อโรคและอาการอักเสบ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้นหลังจากการรักษา
  3. ป้องกันการแพร่กระจายของการติดเชื้อ: การรักษารากฟันช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจแพร่กระจายจากโพรงฟันสู่รากฟัน กระดูกขากรรไกร หรือฟันซี่อื่นๆ ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง
  4. ช่วยรักษารูปทรงใบหน้าและการบดเคี้ยว: เมื่อฟันธรรมชาติยังคงอยู่ จะช่วยรักษาโครงสร้างของกระดูกขากรรไกรและรูปทรงของใบหน้า เพราะการสูญเสียฟันอาจทำให้กระดูกขากรรไกรฝ่อลงและใบหน้าหย่อนคล้อย
  5. ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว: แม้ว่าการรักษารากฟันจะมีค่าใช้จ่าย แต่การรักษาฟันธรรมชาติไว้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวจากการทำฟันปลอม การปลูกฟัน หรือการใส่รากฟันเทียม ซึ่งมักจะมีราคาสูงกว่า
  6. การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและถาวร: เมื่อรักษารากฟันและอุดฟันหรือครอบฟันแล้ว ฟันซี่นั้นมักจะมีอายุการใช้งานยาวนานเท่ากับฟันธรรมชาติ การรักษารากฟันจึงเป็นวิธีที่มีความคงทน
  7. ฟื้นฟูสุขภาพช่องปาก: การกำจัดการติดเชื้อที่รากฟันช่วยให้ช่องปากมีสุขภาพดีขึ้น ลดการอักเสบ และป้องกันปัญหาทางทันตกรรมอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  8. ไม่กระทบต่อฟันซี่อื่น: การรักษารากฟันไม่กระทบต่อฟันซี่อื่น ๆ แตกต่างจากการถอนฟันที่อาจต้องใช้ฟันข้างเคียงในการใส่สะพานฟันหรือฟันปลอม

โดยสรุป การรักษารากฟันช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาฟันธรรมชาติไว้ได้ ลดความเจ็บปวด และช่วยป้องกันปัญหาช่องปากในอนาคต

วิธีการรักษารากฟัน

การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) เป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรักษาโพรงประสาทฟันที่ติดเชื้อหรือตาย เพื่อป้องกันการสูญเสียฟัน กระบวนการรักษารากฟันประกอบด้วยขั้นตอนหลักดังนี้:

1. การตรวจและเตรียมความพร้อม

  • การวินิจฉัย: ทันตแพทย์จะทำการเอกซเรย์ฟันเพื่อตรวจสอบขนาดและรูปร่างของรากฟัน รวมถึงความเสียหายและการติดเชื้อในบริเวณรากฟัน
  • การฉีดยาชา: หากมีความจำเป็น ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณฟันที่ต้องรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการรักษา
  • การเตรียมช่องเปิดฟัน: ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือเจาะเปิดฟันด้านบนหรือตรงกลางเพื่อให้สามารถเข้าถึงโพรงประสาทฟันได้

2. การกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ

  • การกำจัดโพรงประสาทฟัน: ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือเล็กๆ เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟันที่ติดเชื้อหรือเสียหายออกจากช่องรากฟัน โดยการขูดและทำความสะอาดอย่างละเอียด
  • การฆ่าเชื้อ: หลังจากกำจัดเนื้อเยื่อออกหมดแล้ว จะมีการล้างและฆ่าเชื้อในโพรงรากฟันด้วยสารละลายที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดแบคทีเรียและเชื้อโรค

3. การอุดและปิดช่องรากฟัน

  • การอุดช่องรากฟัน: เมื่อโพรงประสาทฟันและรากฟันสะอาดแล้ว ทันตแพทย์จะทำการอุดรากฟันด้วยวัสดุอุดที่เรียกว่า กัตตาเปอร์ชา (Gutta-percha) ซึ่งเป็นยางสังเคราะห์ เพื่อปิดช่องรากฟันและป้องกันการติดเชื้อใหม่
  • การปิดชั่วคราวหรือถาวร: ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจใส่วัสดุอุดฟันชั่วคราวก่อน หากฟันยังไม่พร้อมสำหรับการอุดถาวร หรือทำการครอบฟันในกรณีที่โครงสร้างฟันเสียหายมาก

4. การติดตามผลและการครอบฟัน (ถ้าจำเป็น)

  • การครอบฟัน: หากฟันมีความเปราะบางหรือต้องการเสริมความแข็งแรงเพิ่มเติม ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ทำการครอบฟัน (Crown) เพื่อป้องกันฟันจากการแตกหักในอนาคต
  • การติดตามอาการ: ผู้ป่วยอาจต้องกลับมาตรวจติดตามอาการกับทันตแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาประสบความสำเร็จและไม่มีการติดเชื้อซ้ำ

5. การดูแลฟันหลังการรักษา

  • หลังจากการรักษารากฟันแล้ว ผู้ป่วยควรดูแลฟันด้วยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสุขภาพช่องปากและป้องกันการติดเชื้อใหม่
  • หลีกเลี่ยงการใช้ฟันในการเคี้ยวของแข็งจนกว่าฟันจะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ (เช่น การครอบฟัน)

ภาพรวมของขั้นตอน

  • การรักษารากฟันมักจะใช้เวลา 1-2 ครั้งในการรักษา ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของรากฟันและความรุนแรงของการติดเชื้อ
  • ในกรณีที่ฟันมีความเปราะบางมาก การครอบฟันหลังการรักษาจะช่วยให้ฟันมีความแข็งแรงขึ้น

รักษารากฟันอยู่ได้นานไหม

การรักษารากฟันสามารถอยู่ได้นานหลายปีหรือแม้กระทั่งตลอดชีวิต หากดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดี การรักษารากฟันถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาฟันที่ติดเชื้อหรือเสียหายแทนที่จะต้องถอนฟันออก

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของฟันที่ผ่านการรักษารากฟัน ได้แก่:

  1. การทำครอบฟันหลังการรักษา: การทำครอบฟันช่วยเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันการแตกหรือหักของฟัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการยืดอายุการใช้งานของฟัน
  2. การดูแลรักษาฟัน: การแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ การใช้ไหมขัดฟัน และการตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอกับทันตแพทย์ จะช่วยให้ฟันที่ผ่านการรักษารากฟันคงทน
  3. การหลีกเลี่ยงการใช้งานฟันอย่างไม่ถูกวิธี: หลีกเลี่ยงการใช้ฟันที่รักษารากในการกัดสิ่งแข็งหรือเคี้ยวอาหารที่เหนียวมากเกินไป

โดยทั่วไป หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ฟันที่ได้รับการรักษารากฟันสามารถอยู่ได้นานหลายปี

รักษารากฟันควรงดกินอะไร

หลังการรักษารากฟัน คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางอย่าง เพื่อป้องกันการระคายเคืองและช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ:

  1. อาหารแข็งหรือเหนียว: เช่น น้ำแข็ง ลูกอม เนื้อเหนียวๆ ขนมขบเคี้ยว เพราะอาจทำให้ฟันที่เพิ่งรักษาเกิดความเสียหาย หรือกดดันบริเวณฟัน
  2. อาหารร้อนจัดหรือเย็นจัด: อุณหภูมิที่สูงหรือต่ำเกินไปอาจทำให้ฟันที่บอบบางหลังการรักษามีอาการเสียวหรือปวดได้
  3. อาหารรสจัด: เช่น อาหารเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในช่องปาก
  4. อาหารที่มีน้ำตาลสูง: ช่วยลดโอกาสการเกิดฟันผุหรือปัญหาสุขภาพฟันอื่น ๆ
  5. การเคี้ยวอาหารทางด้านฟันที่เพิ่งรักษา: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ฟันด้านที่ทำการรักษาเพื่อเคี้ยวอาหารในช่วงแรก

หลังจากการรักษาฟันเสร็จสมบูรณ์ และหากใส่ครอบฟันแล้ว คุณสามารถกลับมารับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรดูแลรักษาความสะอาดฟันให้ดี

รักษารากฟันใช้เวลากี่วัน

การรักษารากฟันโดยทั่วไปใช้เวลาในการทำประมาณ 1-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของฟันที่รักษา และอาการติดเชื้อของฟัน

  • กรณีฟันที่ไม่ซับซ้อน: เช่น ฟันที่ไม่มีการติดเชื้อรุนแรง หรือรากฟันที่ไม่ซับซ้อน อาจใช้เวลาเพียง 1-2 ครั้ง ในการรักษา
  • กรณีฟันที่มีการติดเชื้อรุนแรงหรือมีรากฟันที่ซับซ้อน: อาจต้องใช้เวลา 3 ครั้งหรือมากกว่า โดยครั้งแรกจะเป็นการกำจัดเนื้อฟันที่ติดเชื้อ ส่วนครั้งต่อๆ ไปจะเป็นการทำความสะอาดรากฟันและอุดรากฟัน

ระยะเวลาระหว่างแต่ละครั้งมักจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวและการติดตามผลของฟัน

รักษารากฟันจำเป็นต้องทำครอบฟันไหม

การทำครอบฟันหลังการรักษารากฟัน มักจะเป็นสิ่งที่จำเป็น ในหลายกรณี เนื่องจากฟันที่ผ่านการรักษารากฟันมักจะสูญเสียความแข็งแรงและมีโอกาสแตกหรือหักได้ง่ายขึ้น ฟันที่ได้รับการรักษาจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่เหมือนฟันธรรมชาติ ดังนั้นการทำครอบฟันจึงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องฟันให้ใช้งานได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม การทำครอบฟันอาจไม่จำเป็นในบางกรณี โดยเฉพาะฟันหน้า (ฟันตัด) ที่ไม่ต้องรับแรงบดเคี้ยวมาก การอุดฟันแบบปกติอาจเพียงพอหากฟันยังคงโครงสร้างอยู่ในสภาพดี

ทันตแพทย์จะพิจารณาตามสภาพฟันของคุณและให้คำแนะนำว่าควรทำครอบฟันหรือไม่

ฟันผุ ฟันร้าว ฟันแตก ต้องรักษา รักษารากฟันอุบล

บัตร30บาทรักษารากฟันได้ไหม

การรักษารากฟันผ่านโครงการบัตรทอง (บัตร 30 บาท) ไม่ครอบคลุมการรักษารากฟันในทุกกรณี แต่สามารถให้บริการเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การถอนฟัน การอุดฟัน หรือการขูดหินปูน

สำหรับการรักษารากฟัน บัตรทองจะครอบคลุมเฉพาะฟันหน้า (ฟันตัด) เท่านั้น ซึ่งไม่รวมถึงฟันกราม ดังนั้น หากเป็นฟันหน้าและคุณมีความจำเป็นในการรักษา ทันตแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐอาจให้บริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หรือมีค่าใช้จ่ายที่ลดลงตามเงื่อนไขของแต่ละสถานพยาบาล

กรณีฟันกรามหรือฟันที่ไม่ได้ครอบคลุม คุณอาจต้องไปที่คลินิกทันตกรรมเอกชนหรือโรงพยาบาลของรัฐที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขของบัตรทอง โดยอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม