ดูแลสุขภาพฟันเด็กๆ คลินิกหมอฟันเด็กอุบลราชธานี เพื่อฟันที่แข็งแรงและสวยงาม

การดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กทำอย่างไร

การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ฟันแข็งแรงและไม่มีฟันผุ ดังนี้คือคำแนะนำที่ควรทำ:

  1. แปรงฟันอย่างถูกวิธี
    เด็กควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าหลังตื่นนอนและก่อนนอน ก่อนแปรงฟันควรใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์และแปรงฟันให้ทั่วทุกซี่โดยใช้แปรงฟันที่มีขนนุ่ม และให้แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที
  2. ใช้ไหมขัดฟัน
    ควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงฟันไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัคและการเกิดฟันผุ
  3. หลีกเลี่ยงอาหารหวานและน้ำตาล
    อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม จะเป็นสาเหตุให้เกิดฟันผุ ควรหลีกเลี่ยงการทานขนมหวานบ่อยๆ หรือหากต้องการทานควรแปรงฟันทันทีหลังทาน
  4. ดื่มน้ำเปล่า
    ควรดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำเพื่อช่วยให้ช่องปากสะอาดและล้างคราบอาหารที่ติดอยู่ในปาก
  5. พบหมอฟันเป็นประจำ
    ควรพาลูกไปหาหมอฟันเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน เพื่อให้หมอฟันสามารถตรวจพบปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและแก้ไขได้ทันเวลา
  6. ใช้ยาสีฟันที่เหมาะสม
    เลือกยาสีฟันที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน
  7. การดูแลช่องปากตั้งแต่เล็ก
    การดูแลช่องปากตั้งแต่เด็กๆ เช่น การทำความสะอาดเหงือกของเด็กทารกด้วยผ้าสะอาด เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย

การดูแลช่องปากเป็นประจำจะช่วยให้ฟันของเด็กแข็งแรงและลดโอกาสการเกิดฟันผุในอนาคตค่ะ

สังเกตุว่าเด็กมีฟันผุ

การสังเกตว่าเด็กมีฟันผุนั้นสามารถทำได้จากการสังเกตอาการและลักษณะของฟัน รวมถึงพฤติกรรมของเด็กเมื่อรับประทานอาหารหรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่องปาก โดยสามารถสังเกตได้ตามนี้:

วิธีสังเกตว่าเด็กมีฟันผุ

  1. ฟันมีจุดหรือรอยดำ ฟันที่มีฟันผุจะเริ่มมีจุดสีดำหรือสีน้ำตาลที่ผิวฟัน ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อมองใกล้ๆ บางครั้งอาจเป็นรอยบิ่นหรือลึกลงไปในเนื้อฟัน
  2. มีคราบสีขาวหรือเหลือง ฟันที่มีการสะสมของคราบพลัคหรือเริ่มเกิดฟันผุจะมีคราบสีขาวขุ่นหรือเหลืองตามซอกฟันหรือที่โคนฟัน
  3. ฟันมีรอยหลุมหรือฟันแตก ถ้าฟันมีฟันผุนานๆ หรือหนัก ฟันอาจจะมีรอยหลุมที่มองเห็นได้ หรือฟันอาจแตกหักได้ในที่สุด

อาการเมื่อมีฟันผุ

  1. ปวดฟันหรือเสียวฟัน เด็กอาจมีอาการปวดฟันหรือรู้สึกเสียวฟันเมื่อรับประทานอาหารที่ร้อน เย็น หรือหวาน อาการปวดอาจเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
  2. มีกลิ่นปาก หากฟันผุสะสมเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก อาจทำให้เด็กมีกลิ่นปากที่ไม่หายไปแม้ว่าจะทำความสะอาดช่องปากแล้ว
  3. การขบฟันหรือไม่อยากทานอาหาร เด็กอาจไม่อยากทานอาหารบางประเภทโดยเฉพาะอาหารที่มีความร้อน เย็น หรือกรุบกรอบ เนื่องจากฟันที่ผุทำให้เจ็บหรือไม่สบายเวลาทานอาหาร
  4. อาการเหงือกบวม เมื่อฟันผุรุนแรงไปถึงเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม แดง หรืออักเสบ และอาจมีเลือดออกเล็กน้อยเวลาที่แปรงฟัน

การดูแลเมื่อพบว่ามีฟันผุ

  • พาลูกไปหาหมอฟันทันที เพื่อให้หมอฟันตรวจและทำการรักษาฟันผุ อาจจะเป็นการอุดฟัน หรือการรักษาอื่นๆ ตามความรุนแรงของการผุ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ฟันผุรุนแรงขึ้น เช่น อาหารที่หวานหรือมีกรดสูง

การรักษาฟันผุในระยะเริ่มต้นสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฟันผุรุนแรงและลดความเสี่ยงในการสูญเสียฟันได้ค่ะ

วิธีรักษาฟันผุในเด็ก

การรักษาฟันผุในเด็กนั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของฟันผุและอายุของเด็ก วิธีการรักษาที่แพทย์ใช้จะมีหลายวิธี โดยทั่วไปจะมีขั้นตอนดังนี้:

1. การทำความสะอาดและอุดฟัน

  • กรณีฟันผุไม่ลึกมาก: หากฟันผุแค่บางส่วนและยังไม่ลึกมาก แพทย์จะทำการทำความสะอาดบริเวณที่ผุออก และทำการอุดฟันด้วยวัสดุอุดฟัน เช่น อมัลกัม (วัสดุเงิน) หรือวัสดุคอมโพสิต (วัสดุสีเหมือนฟัน) เพื่อปิดช่องที่ฟันผุให้กลับมาแข็งแรงและป้องกันการผุต่อไป
  • การอุดฟันในเด็กเล็ก: โดยส่วนมากแพทย์จะเลือกวัสดุที่ปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

2. การรักษารากฟัน

  • กรณีฟันผุถึงรากฟัน: ถ้าฟันผุลึกจนไปถึงโพรงในฟัน (เนื้อเยื่อภายในฟัน) หรือถึงเส้นประสาทฟัน แพทย์อาจจะต้องทำการรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) ซึ่งจะช่วยรักษาฟันให้คงอยู่ โดยการทำความสะอาดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อภายในรากฟัน และใส่วัสดุอุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ

3. การครอบฟัน

  • กรณีฟันผุรุนแรง: หากฟันผุเสียหายมากจนไม่สามารถอุดฟันได้ แพทย์อาจทำการครอบฟัน ซึ่งจะช่วยปกป้องฟันที่เสียหายจากการกัดหรือการกระทบกระแทก ทำให้ฟันคงรูปร่างและหน้าที่เดิมได้

4. การรักษาฟันน้ำนมที่ผุ

  • การถอดฟันน้ำนมที่ผุ: ในบางกรณีที่ฟันผุรุนแรงมากจนไม่สามารถรักษาได้ แพทย์อาจต้องถอนฟันน้ำนมออก ถ้าฟันน้ำนมฟันนั้นใกล้จะหลุดเองอยู่แล้ว โดยปกติแล้วฟันน้ำนมจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-6 ปี
  • การใส่ฟันปลอมชั่วคราว: สำหรับเด็กที่ฟันน้ำนมถูกถอนออกไปแล้ว และมีความจำเป็นต้องใช้ฟันแทนฟันที่หายไป แพทย์อาจใช้ฟันปลอมชั่วคราวเพื่อช่วยให้เด็กสามารถบดเคี้ยวอาหารได้

5. การใช้ฟลูออไรด์ (Fluoride)

  • การบำรุงฟันด้วยฟลูออไรด์: ในกรณีที่ฟันผุในระยะเริ่มต้น แพทย์อาจใช้การบำรุงฟันด้วยฟลูออไรด์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันและช่วยป้องกันฟันผุต่อไป ฟลูออไรด์ช่วยเติมแร่ธาตุที่สูญเสียไปและทำให้ฟันแข็งแรงขึ้น

6. การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลช่องปาก

  • หลังจากการรักษาแล้ว แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลช่องปากที่บ้าน เช่น การแปรงฟันอย่างถูกวิธี, การหลีกเลี่ยงอาหารหวาน และการใช้ไหมขัดฟัน รวมถึงการตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ

การรักษาฟันผุในเด็กเป็นการป้องกันและรักษาให้ฟันของเด็กแข็งแรง และลดโอกาสการเกิดฟันผุในอนาคตค่ะ

อาหารที่ดีต่อฟันสำหรับเด็ก

การเสริมสร้างสุขภาพฟันในเด็กนั้นสามารถทำได้ผ่านการเลือกทานอาหารที่ดีต่อฟันและเหงือก อาหารที่ช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรงและป้องกันฟันผุประกอบด้วยสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และฟลูออไรด์ นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ช่วยขจัดคราบพลัคและทำความสะอาดช่องปากด้วย

อาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพฟันในเด็ก

  1. ผลิตภัณฑ์จากนม (นม, โยเกิร์ต, ชีส)
    • ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม, โยเกิร์ต, และชีส เป็นแหล่งแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ดี ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันและกระดูก ชีสยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วยการช่วยลดการสะสมของกรดในช่องปาก
  2. ผักใบเขียว (ผักโขม, คะน้า, บร็อคโคลี่)
    • ผักใบเขียวมีแคลเซียมสูง และยังเป็นแหล่งของวิตามิน A และ C ที่ช่วยเสริมสร้างเหงือกให้แข็งแรง ผักเหล่านี้ช่วยรักษาสุขภาพช่องปากโดยรวม
  3. ปลา (ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาซาร์ดีน)
    • ปลาเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 และวิตามิน D ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากอาหาร ปลาซาร์ดีนมีแคลเซียมสูงที่ช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
  4. ผลไม้ (แอปเปิ้ล, ส้ม, ลูกพลับ)
    • ผลไม้เช่นแอปเปิ้ลและลูกพลับมีไฟเบอร์สูงที่ช่วยขัดฟันและกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งช่วยล้างคราบอาหารที่ติดอยู่ในปาก ส้มช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
  5. ถั่วและธัญพืช (อัลมอนด์, เมล็ดงา, ถั่วเหลือง)
    • ถั่วและธัญพืชต่างๆ มีแคลเซียม, ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมที่ช่วยในการเสริมสร้างฟันและกระดูกให้แข็งแรง
  6. น้ำดื่ม
    • การดื่มน้ำเปล่าช่วยให้ปากสะอาดและลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ เนื่องจากน้ำช่วยชะล้างคราบอาหารและช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลายที่มีส่วนช่วยในการรักษาความสะอาดของฟัน
  7. ชาเขียว
    • ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุและช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน, ลูกอม, น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มโอกาสในการเกิดฟันผุได้ง่าย
  • อาหารที่ติดฟัน เช่น ขนมเค้ก, ขนมปังหวาน ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารเหล่านี้บ่อยๆ

การเลือกทานอาหารที่ดีต่อฟันจะช่วยให้ฟันของเด็กแข็งแรง ป้องกันฟันผุ และรักษาสุขภาพช่องปากได้ยาวนานค่ะ