การดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับเด็กทำอย่างไร
การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ฟันแข็งแรงและไม่มีฟันผุ ดังนี้คือคำแนะนำที่ควรทำ:
- แปรงฟันอย่างถูกวิธี
เด็กควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าหลังตื่นนอนและก่อนนอน ก่อนแปรงฟันควรใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์และแปรงฟันให้ทั่วทุกซี่โดยใช้แปรงฟันที่มีขนนุ่ม และให้แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที - ใช้ไหมขัดฟัน
ควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดซอกฟันที่แปรงฟันไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัคและการเกิดฟันผุ - หลีกเลี่ยงอาหารหวานและน้ำตาล
อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม จะเป็นสาเหตุให้เกิดฟันผุ ควรหลีกเลี่ยงการทานขนมหวานบ่อยๆ หรือหากต้องการทานควรแปรงฟันทันทีหลังทาน - ดื่มน้ำเปล่า
ควรดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำเพื่อช่วยให้ช่องปากสะอาดและล้างคราบอาหารที่ติดอยู่ในปาก - พบหมอฟันเป็นประจำ
ควรพาลูกไปหาหมอฟันเพื่อตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน เพื่อให้หมอฟันสามารถตรวจพบปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและแก้ไขได้ทันเวลา - ใช้ยาสีฟันที่เหมาะสม
เลือกยาสีฟันที่เหมาะสมสำหรับเด็ก โดยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน - การดูแลช่องปากตั้งแต่เล็ก
การดูแลช่องปากตั้งแต่เด็กๆ เช่น การทำความสะอาดเหงือกของเด็กทารกด้วยผ้าสะอาด เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย
การดูแลช่องปากเป็นประจำจะช่วยให้ฟันของเด็กแข็งแรงและลดโอกาสการเกิดฟันผุในอนาคตค่ะ
สังเกตุว่าเด็กมีฟันผุ
การสังเกตว่าเด็กมีฟันผุนั้นสามารถทำได้จากการสังเกตอาการและลักษณะของฟัน รวมถึงพฤติกรรมของเด็กเมื่อรับประทานอาหารหรือทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่องปาก โดยสามารถสังเกตได้ตามนี้:
วิธีสังเกตว่าเด็กมีฟันผุ
- ฟันมีจุดหรือรอยดำ ฟันที่มีฟันผุจะเริ่มมีจุดสีดำหรือสีน้ำตาลที่ผิวฟัน ซึ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อมองใกล้ๆ บางครั้งอาจเป็นรอยบิ่นหรือลึกลงไปในเนื้อฟัน
- มีคราบสีขาวหรือเหลือง ฟันที่มีการสะสมของคราบพลัคหรือเริ่มเกิดฟันผุจะมีคราบสีขาวขุ่นหรือเหลืองตามซอกฟันหรือที่โคนฟัน
- ฟันมีรอยหลุมหรือฟันแตก ถ้าฟันมีฟันผุนานๆ หรือหนัก ฟันอาจจะมีรอยหลุมที่มองเห็นได้ หรือฟันอาจแตกหักได้ในที่สุด
อาการเมื่อมีฟันผุ
- ปวดฟันหรือเสียวฟัน เด็กอาจมีอาการปวดฟันหรือรู้สึกเสียวฟันเมื่อรับประทานอาหารที่ร้อน เย็น หรือหวาน อาการปวดอาจเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
- มีกลิ่นปาก หากฟันผุสะสมเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก อาจทำให้เด็กมีกลิ่นปากที่ไม่หายไปแม้ว่าจะทำความสะอาดช่องปากแล้ว
- การขบฟันหรือไม่อยากทานอาหาร เด็กอาจไม่อยากทานอาหารบางประเภทโดยเฉพาะอาหารที่มีความร้อน เย็น หรือกรุบกรอบ เนื่องจากฟันที่ผุทำให้เจ็บหรือไม่สบายเวลาทานอาหาร
- อาการเหงือกบวม เมื่อฟันผุรุนแรงไปถึงเหงือก อาจทำให้เหงือกบวม แดง หรืออักเสบ และอาจมีเลือดออกเล็กน้อยเวลาที่แปรงฟัน
การดูแลเมื่อพบว่ามีฟันผุ
- พาลูกไปหาหมอฟันทันที เพื่อให้หมอฟันตรวจและทำการรักษาฟันผุ อาจจะเป็นการอุดฟัน หรือการรักษาอื่นๆ ตามความรุนแรงของการผุ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ฟันผุรุนแรงขึ้น เช่น อาหารที่หวานหรือมีกรดสูง
การรักษาฟันผุในระยะเริ่มต้นสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฟันผุรุนแรงและลดความเสี่ยงในการสูญเสียฟันได้ค่ะ

วิธีรักษาฟันผุในเด็ก
การรักษาฟันผุในเด็กนั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของฟันผุและอายุของเด็ก วิธีการรักษาที่แพทย์ใช้จะมีหลายวิธี โดยทั่วไปจะมีขั้นตอนดังนี้:
1. การทำความสะอาดและอุดฟัน
- กรณีฟันผุไม่ลึกมาก: หากฟันผุแค่บางส่วนและยังไม่ลึกมาก แพทย์จะทำการทำความสะอาดบริเวณที่ผุออก และทำการอุดฟันด้วยวัสดุอุดฟัน เช่น อมัลกัม (วัสดุเงิน) หรือวัสดุคอมโพสิต (วัสดุสีเหมือนฟัน) เพื่อปิดช่องที่ฟันผุให้กลับมาแข็งแรงและป้องกันการผุต่อไป
- การอุดฟันในเด็กเล็ก: โดยส่วนมากแพทย์จะเลือกวัสดุที่ปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้
2. การรักษารากฟัน
- กรณีฟันผุถึงรากฟัน: ถ้าฟันผุลึกจนไปถึงโพรงในฟัน (เนื้อเยื่อภายในฟัน) หรือถึงเส้นประสาทฟัน แพทย์อาจจะต้องทำการรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) ซึ่งจะช่วยรักษาฟันให้คงอยู่ โดยการทำความสะอาดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อภายในรากฟัน และใส่วัสดุอุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ
3. การครอบฟัน
- กรณีฟันผุรุนแรง: หากฟันผุเสียหายมากจนไม่สามารถอุดฟันได้ แพทย์อาจทำการครอบฟัน ซึ่งจะช่วยปกป้องฟันที่เสียหายจากการกัดหรือการกระทบกระแทก ทำให้ฟันคงรูปร่างและหน้าที่เดิมได้
4. การรักษาฟันน้ำนมที่ผุ
- การถอดฟันน้ำนมที่ผุ: ในบางกรณีที่ฟันผุรุนแรงมากจนไม่สามารถรักษาได้ แพทย์อาจต้องถอนฟันน้ำนมออก ถ้าฟันน้ำนมฟันนั้นใกล้จะหลุดเองอยู่แล้ว โดยปกติแล้วฟันน้ำนมจะมีอายุการใช้งานประมาณ 5-6 ปี
- การใส่ฟันปลอมชั่วคราว: สำหรับเด็กที่ฟันน้ำนมถูกถอนออกไปแล้ว และมีความจำเป็นต้องใช้ฟันแทนฟันที่หายไป แพทย์อาจใช้ฟันปลอมชั่วคราวเพื่อช่วยให้เด็กสามารถบดเคี้ยวอาหารได้
5. การใช้ฟลูออไรด์ (Fluoride)
- การบำรุงฟันด้วยฟลูออไรด์: ในกรณีที่ฟันผุในระยะเริ่มต้น แพทย์อาจใช้การบำรุงฟันด้วยฟลูออไรด์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันและช่วยป้องกันฟันผุต่อไป ฟลูออไรด์ช่วยเติมแร่ธาตุที่สูญเสียไปและทำให้ฟันแข็งแรงขึ้น
6. การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลช่องปาก
- หลังจากการรักษาแล้ว แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลช่องปากที่บ้าน เช่น การแปรงฟันอย่างถูกวิธี, การหลีกเลี่ยงอาหารหวาน และการใช้ไหมขัดฟัน รวมถึงการตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ
การรักษาฟันผุในเด็กเป็นการป้องกันและรักษาให้ฟันของเด็กแข็งแรง และลดโอกาสการเกิดฟันผุในอนาคตค่ะ
อาหารที่ดีต่อฟันสำหรับเด็ก
การเสริมสร้างสุขภาพฟันในเด็กนั้นสามารถทำได้ผ่านการเลือกทานอาหารที่ดีต่อฟันและเหงือก อาหารที่ช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรงและป้องกันฟันผุประกอบด้วยสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และฟลูออไรด์ นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ช่วยขจัดคราบพลัคและทำความสะอาดช่องปากด้วย
อาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพฟันในเด็ก
- ผลิตภัณฑ์จากนม (นม, โยเกิร์ต, ชีส)
- ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม, โยเกิร์ต, และชีส เป็นแหล่งแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่ดี ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟันและกระดูก ชีสยังช่วยป้องกันฟันผุได้ด้วยการช่วยลดการสะสมของกรดในช่องปาก
- ผักใบเขียว (ผักโขม, คะน้า, บร็อคโคลี่)
- ผักใบเขียวมีแคลเซียมสูง และยังเป็นแหล่งของวิตามิน A และ C ที่ช่วยเสริมสร้างเหงือกให้แข็งแรง ผักเหล่านี้ช่วยรักษาสุขภาพช่องปากโดยรวม
- ปลา (ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลาซาร์ดีน)
- ปลาเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 และวิตามิน D ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากอาหาร ปลาซาร์ดีนมีแคลเซียมสูงที่ช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
- ผลไม้ (แอปเปิ้ล, ส้ม, ลูกพลับ)
- ผลไม้เช่นแอปเปิ้ลและลูกพลับมีไฟเบอร์สูงที่ช่วยขัดฟันและกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งช่วยล้างคราบอาหารที่ติดอยู่ในปาก ส้มช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
- ถั่วและธัญพืช (อัลมอนด์, เมล็ดงา, ถั่วเหลือง)
- ถั่วและธัญพืชต่างๆ มีแคลเซียม, ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมที่ช่วยในการเสริมสร้างฟันและกระดูกให้แข็งแรง
- น้ำดื่ม
- การดื่มน้ำเปล่าช่วยให้ปากสะอาดและลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ เนื่องจากน้ำช่วยชะล้างคราบอาหารและช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลายที่มีส่วนช่วยในการรักษาความสะอาดของฟัน
- ชาเขียว
- ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุและช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- อาหารหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน, ลูกอม, น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มโอกาสในการเกิดฟันผุได้ง่าย
- อาหารที่ติดฟัน เช่น ขนมเค้ก, ขนมปังหวาน ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารเหล่านี้บ่อยๆ
การเลือกทานอาหารที่ดีต่อฟันจะช่วยให้ฟันของเด็กแข็งแรง ป้องกันฟันผุ และรักษาสุขภาพช่องปากได้ยาวนานค่ะ