ตรวจสุขภาพฟันเด็กที่คลินิกทันตกรรมเด็ก อุบลราชธานี สุขภาพช่องปากสำคัญกับลูกรัก

พาลูกไปตรวจสุขภาพฟันกับหมอฟันได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่

โดยทั่วไปแล้ว ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันตั้งแต่ 1 ปี หรือเมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น โดยทันตแพทย์จะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก และตรวจหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ การตรวจสอบในช่วงต้นนี้จะช่วยให้เด็กมีสุขภาพฟันที่ดีและป้องกันปัญหาฟันในอนาคตค่ะ

คุณหมอจะตรวจอะไรบ้าง

การตรวจสุขภาพฟันของเด็กโดยทันตแพทย์จะเน้นไปที่หลายด้านเพื่อป้องกันและดูแลปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะรวมถึง:

  1. การพัฒนาของฟัน: ทันตแพทย์จะตรวจสอบการขึ้นของฟันน้ำนมและฟันแท้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาการพัฒนา เช่น ฟันขึ้นช้า หรือไม่ตรงตำแหน่ง
  2. การดูแลสุขอนามัยช่องปาก: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดฟันผุ
  3. ฟันผุ: ทันตแพทย์จะตรวจหาฟันผุที่อาจเกิดขึ้นในฟันน้ำนมหรือฟันแท้ของเด็ก รวมถึงการแนะนำวิธีการป้องกัน เช่น การใช้ฟลูออไรด์
  4. ปัญหาการสบฟัน: ตรวจสอบการเรียงตัวของฟันและการสบฟันที่เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาฟันที่ไม่สมบูรณ์ในอนาคต เช่น ฟันเกหรือฟันคุด
  5. การดูแลฟันน้ำนม: ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาฟันน้ำนม เช่น การรักษาฟันผุในฟันน้ำนมที่อาจส่งผลกระทบต่อฟันถาวรในอนาคต
  6. พฤติกรรมที่มีผลต่อฟัน: ทันตแพทย์อาจจะพูดถึงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดปัญหาฟัน เช่น การดูดนิ้ว หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก

การตรวจสุขภาพฟันตั้งแต่ต้นจะช่วยให้สามารถระบุปัญหาฟันและช่องปากได้เร็ว และทำให้สามารถป้องกันหรือรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ

ควรพาเด็กไปให้หมอฟันตรวจช่วงอายุเท่าไหร่บ้าง

การพาเด็กไปให้หมอฟันตรวจสุขภาพฟันในช่วงอายุต่างๆ มีข้อแนะนำดังนี้:

  1. อายุ 1 ปี (เมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น): ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันน้ำนม โดยทันตแพทย์จะช่วยแนะนำการดูแลฟันและตรวจหาปัญหาต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้น
  2. อายุ 2-3 ปี: ในช่วงนี้ฟันน้ำนมจะครบชุด ทันตแพทย์จะตรวจสอบการเรียงตัวของฟัน การพัฒนาของฟัน และดูแลปัญหาฟันผุที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแปรงฟันและการดูแลสุขภาพช่องปาก
  3. อายุ 4-6 ปี: ตรวจสอบการเจริญเติบโตของฟันถาวรและการป้องกันฟันผุ โดยเฉพาะในฟันน้ำนมที่อาจจะยังคงมีอยู่จนกว่าจะถึงฟันถาวร
  4. อายุ 7-12 ปี: ช่วงนี้จะมีฟันแท้เริ่มขึ้นแทนฟันน้ำนม ทันตแพทย์จะตรวจดูปัญหาการสบฟันและการเรียงตัวของฟัน และอาจแนะนำการใส่เครื่องมือจัดฟันหากพบปัญหาการสบฟันไม่ปกติ
  5. อายุ 12 ปีขึ้นไป: ฟันถาวรทั้งหมดจะครบและการจัดฟันจะเป็นไปตามที่ทันตแพทย์แนะนำ หากจำเป็น เช่น การใส่เครื่องมือจัดฟันเพิ่มเติม

การตรวจสุขภาพฟันในทุกช่วงวัยจะช่วยป้องกันและดูแลฟันเด็กให้มีสุขภาพที่ดีในระยะยาวค่ะ

ช่วงฟันน้ำนมเริ่มหลุดและฟันแท้กำลังขึ้นมีวิธีการดูแลอย่างไร

การดูแลฟันเด็กในช่วงที่ฟันน้ำนมเริ่มหลุดและฟันแท้กำลังขึ้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการรักษาสุขภาพฟันให้ดี โดยมีวิธีการดูแลดังนี้:

  1. แปรงฟันอย่างถูกวิธี:
    • แปรงฟันเด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) โดยใช้แปรงฟันที่มีขนแปรงนุ่มและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม
    • สอนเด็กให้แปรงฟันในทุกซอกทุกมุม และอย่าลืมแปรงลิ้นด้วย
    • ให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองช่วยแปรงฟันเด็กจนกว่าจะสามารถทำได้เองอย่างถูกต้อง (ประมาณอายุ 7-8 ปี)
  2. ใช้ไหมขัดฟัน:
    • ควรเริ่มใช้ไหมขัดฟันเมื่อฟันของเด็กเริ่มติดกันเพื่อขจัดเศษอาหารที่อยู่ระหว่างฟัน และลดโอกาสการเกิดฟันผุหรือโรคเหงือก
  3. การดูแลฟันที่หลุดและฟันแท้ที่ขึ้น:
    • หากฟันน้ำนมหลุดเองโดยธรรมชาติและฟันแท้เริ่มขึ้น อาจทำให้เหงือกบวมและมีอาการระคายเคืองบ้าง ให้แนะนำให้เด็กบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ เพื่อลดการระคายเคือง
    • ตรวจดูฟันแท้ที่กำลังขึ้น ว่ามีการขึ้นที่ถูกต้องหรือไม่ หากฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่งหรือช้าเกินไป ควรพาไปพบทันตแพทย์เพื่อประเมินการรักษา
  4. หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง:
    • ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล หรือขนมหวานที่สามารถทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่ฟันแท้กำลังขึ้น
  5. ป้องกันการบาดเจ็บจากการเล่น:
    • ในช่วงที่ฟันแท้กำลังขึ้น เด็กอาจรู้สึกไม่คุ้นเคยกับฟันใหม่ การบาดเจ็บที่ฟันสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายจากการเล่นหรือกิจกรรมต่างๆ ควรดูแลให้เด็กระมัดระวังในการเล่น
  6. การตรวจสุขภาพฟันประจำ:
    • พาเด็กไปพบทันตแพทย์ตามที่แนะนำเพื่อให้ทันตแพทย์ตรวจสอบการขึ้นของฟันแท้และตรวจหาปัญหาฟันผุหรือปัญหาช่องปากอื่นๆ

การดูแลฟันในช่วงนี้จะช่วยให้ฟันแท้ของเด็กขึ้นอย่างมีสุขภาพดีและหลีกเลี่ยงปัญหาฟันในอนาคตค่ะ