ฟันที่ต้องถอน ใช้สิทธิ์ทำฟัน คลินิกถอนฟันรับประกันสังคมอุบล

วิธีดูแลฟันแท้ให้อยู่กับเราไปนานๆ

การดูแลฟันแท้ของผู้ใหญ่เพื่อป้องกันการเกิดฟันผุสามารถทำได้ดังนี้:

  1. แปรงฟันอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ:
    • แปรงฟันวันละ 2 ครั้งเช้าและก่อนนอน โดยใช้แปรงฟันที่มีขนแปรงนุ่มและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ เพื่อช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียและป้องกันฟันผุ
    • แปรงฟันในลักษณะวงกลมเล็ก ๆ และไม่แปรงฟันแรงเกินไปเพื่อลดการทำลายเหงือกและฟัน
  2. ใช้ไหมขัดฟัน:
    • การใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดระหว่างฟันที่แปรงฟันไม่สามารถเข้าถึงได้ ช่วยลดการสะสมของคราบพลัคที่เป็นสาเหตุหลักของฟันผุ
  3. การใช้ล้างปาก (Mouthwash):
    • ล้างปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน และลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก
  4. หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง:
    • น้ำตาลเป็นอาหารหลักของแบคทีเรียในช่องปากที่สามารถผลิตกรดซึ่งทำลายฟันให้เกิดฟันผุได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการทานขนมหวานหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณสูงบ่อย ๆ
  5. การตรวจสุขภาพฟันประจำปี:
    • การไปพบหมอฟันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อทำความสะอาดฟันอย่างละเอียด (การขูดหินปูน) และตรวจสุขภาพช่องปากและฟันช่วยให้เราทราบถึงปัญหาฟันผุหรือโรคปากอื่น ๆ ตั้งแต่เนิ่น ๆ
  6. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อฟัน:
    • ควรกินอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามิน D เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ผักใบเขียว ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน
  7. ดื่มน้ำสะอาด:
    • ดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำเพื่อช่วยลดกรดในช่องปากและช่วยให้ช่องปากชุ่มชื้น ลดการสะสมของแบคทีเรีย

การดูแลฟันในระยะยาวและทำตามขั้นตอนเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันฟันผุและโรคฟันอื่น ๆ ได้ดีค่ะ

อาหารที่บำรุงสุขภาพฟันแท้

อาหารที่บำรุงสุขภาพฟันและสามารถหากินได้ง่ายในราคาที่ไม่แพง มีหลายประเภทที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงฟันและเหงือก ดังนี้:

  1. ผักใบเขียว (เช่น ผักบุ้ง คะน้า ปวยเล้ง):
    • ผักใบเขียวมีวิตามิน A, C และแคลเซียม ซึ่งช่วยเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง และช่วยบำรุงเหงือก
  2. โยเกิร์ต (โดยเฉพาะแบบธรรมชาติที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่ม):
    • โยเกิร์ตมีแคลเซียมสูงและช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน นอกจากนี้ยังมีโปรไบโอติกที่ช่วยรักษาสมดุลในช่องปากและป้องกันการเกิดฟันผุ
  3. ผลไม้ที่มีวิตามิน C (เช่น ส้ม มะละกอ สตรอว์เบอร์รี):
    • วิตามิน C ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปาก ช่วยให้เหงือกแข็งแรงและป้องกันการเกิดโรคเหงือก
  4. แอปเปิ้ล:
    • แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์สูงและช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ซึ่งช่วยทำความสะอาดฟันและลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก
  5. ถั่ว (เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว):
    • ถั่วมีแคลเซียมสูงและโปรตีน ซึ่งช่วยบำรุงฟันและกระดูกให้แข็งแรง
  6. ปลาและอาหารทะเล (เช่น ปลาซาร์ดีน ปลากระป๋อง):
    • ปลาและอาหารทะเลมีแคลเซียมและวิตามิน D ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมไปยังฟันและกระดูก ทำให้ฟันแข็งแรง
  7. ชีส (โดยเฉพาะชีสที่ไม่มีการปรุงรส):
    • ชีสมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฟัน และช่วยป้องกันการเกิดฟันผุ
  8. น้ำเปล่า:
    • การดื่มน้ำเปล่าช่วยรักษาความชุ่มชื้นในช่องปากและทำความสะอาดฟันจากคราบพลัคและเศษอาหารที่หลงเหลือในช่องปาก
  9. แครอทและแตงกวา:
    • ผักสดเช่นแครอทและแตงกวาช่วยทำความสะอาดฟันขณะเคี้ยว และมีวิตามิน A ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับฟัน

การบริโภคอาหารเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ฟันและเหงือกของคุณแข็งแรงและลดความเสี่ยงจากฟันผุและโรคเหงือกได้ค่ะ

จะสังเกตุได้อย่างไรบ้างว่าฟันเริ่มมีอาการผุ

การสังเกตอาการฟันผุในระยะเริ่มต้นสามารถทำได้ดังนี้:

  1. มีจุดสีขาวบนฟัน:
    • ฟันที่เริ่มมีการผุในระยะแรกอาจจะปรากฏจุดสีขาวบริเวณผิวฟัน ซึ่งเกิดจากการที่แร่ธาตุจากฟันถูกละลายออกไปเนื่องจากกรดจากแบคทีเรีย นี่คือสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าฟันเริ่มสูญเสียแร่ธาตุ
  2. ฟันมีสีคล้ำหรือเป็นจุดสีเทา:
    • เมื่อฟันผุรุนแรงขึ้น ฟันอาจเริ่มมีสีคล้ำหรือเป็นจุดสีเทาเนื่องจากการเกิดฟันผุที่ลึกขึ้นไปในชั้นฟัน
  3. รู้สึกเสียวฟันหรือเจ็บเมื่อกินอาหารหรือดื่มของร้อน/เย็น:
    • เมื่อฟันผุเริ่มลึกขึ้น อาจทำให้เส้นประสาทภายในฟันได้รับผลกระทบ ทำให้รู้สึกเสียวฟันหรือเจ็บเวลาที่สัมผัสกับของร้อนหรือเย็น
  4. มีคราบหรือเศษอาหารติดตามซอกฟัน:
    • ฟันที่มีการผุอาจจะทำให้มีการสะสมของคราบอาหารหรือคราบพลัคในพื้นที่ที่ผุ ซึ่งจะทำให้เกิดคราบสกปรกที่ทำความสะอาดได้ยาก
  5. มีกลิ่นปากหรือรสชาติไม่พึงประสงค์:
    • การผุของฟันอาจทำให้เกิดกลิ่นปากหรือรสชาติในปากที่ไม่ดี เนื่องจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในพื้นที่ที่ผุ
  6. ฟันแตกหักหรือชิ้นส่วนฟันหลุดออก:
    • เมื่อฟันผุไปถึงชั้นที่ลึกขึ้น ฟันอาจแตกหักหรือชิ้นส่วนฟันอาจหลุดออกมา ซึ่งเป็นสัญญาณของฟันที่ผุไปถึงจุดที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการฟื้นฟูธรรมดา

หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อให้ทำการตรวจสอบและรักษาฟันก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากขึ้นค่ะ

การใช้สิทธิประกันสังคมเพื่อถอนฟันโดยไม่ต้องสำรองจ่าย

การใช้สิทธิประกันสังคมเพื่อถอนฟันผุที่คลินิกทันตกรรมเอกชนโดยไม่ต้องสำรองจ่าย สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้:

  1. ตรวจสอบสิทธิ์:
    • ตรวจสอบว่าคุณมีสิทธิประกันสังคมและสิทธิ์ในส่วนของการรักษาฟันผ่านประกันสังคมหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วการถอนฟันผุหรือการรักษาทางทันตกรรมอื่น ๆ จะได้รับสิทธิ์การรักษาผ่านประกันสังคมเฉพาะในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานประกันสังคม
  2. ค้นหาคลินิกทันตกรรมที่รองรับสิทธิประกันสังคม:
    • คุณต้องหาคลินิกทันตกรรมเอกชนที่มีการลงทะเบียนเป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์ที่สามารถใช้สิทธิประกันสังคมได้ โดยสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคมหรือโทรสอบถามที่คลินิกทันตกรรมโดยตรง
  3. เตรียมเอกสาร:
    • ให้เตรียมเอกสารดังนี้:
      • บัตรประกันสังคม (หรือบัตรประชาชนถ้าบัตรประกันสังคมหาย)
      • ใบรับรองแพทย์หรือใบการรักษาที่คลินิกทันตกรรมออกให้
      • เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการรักษาฟันผุ (หากจำเป็น)
  4. ยืนยันสิทธิ์ก่อนรับการรักษา:
    • เมื่อไปถึงคลินิกทันตกรรมเอกชน ให้แจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิประกันสังคมสำหรับการถอนฟันผุและขอให้พวกเขายืนยันสิทธิ์ของคุณเพื่อไม่ต้องสำรองจ่าย
    • เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์ของคุณผ่านระบบออนไลน์ของสำนักงานประกันสังคม
  5. การรักษา:
    • เมื่อผ่านการตรวจสอบสิทธิ์แล้ว คุณสามารถรับการรักษาหรือถอนฟันได้ตามขั้นตอนที่คลินิกกำหนด โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
  6. การจ่ายเงิน:
    • หากคุณใช้สิทธิประกันสังคมอย่างถูกต้องและผ่านการตรวจสอบสิทธิ์แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายเงินค่ารักษา แต่หากมีค่ารักษาหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่ครอบคลุมโดยประกันสังคม (เช่น การทำฟันเพิ่มเติมที่ไม่ครอบคลุมในสิทธิประกันสังคม) คุณอาจต้องจ่ายส่วนต่าง

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมหรือข้อมูลที่ไม่ชัดเจน คุณสามารถโทรสอบถามกับคลินิกหรือสำนักงานประกันสังคมเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนค่ะ