จะมีข้อสังเกตุยังไงว่าฟันที่ผุ จะต้องทำการรักษารากฟัน
การรู้ว่าฟันมีการผุจนต้องทำการรักษารากฟันนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะต้องให้หมอฟันวินิจฉัย เนื่องจากการผุของฟันอาจจะไม่ได้แสดงอาการในระยะแรกๆ หรือในบางกรณีอาการอาจจะไม่รุนแรงพอที่จะทำให้คุณสังเกตเห็นได้ แต่ก็มีบางอาการที่อาจจะช่วยให้คุณสงสัยได้ว่า ฟันของคุณอาจจะผุจนต้องรักษารากฟัน เช่น:
- ปวดฟันรุนแรง: ปวดที่ไม่หายไป แม้จะทานยาแก้ปวดแล้ว หรืออาการปวดอาจจะเกิดขึ้นเมื่อคุณทานอาหารร้อน เย็น หรือหวาน
- อาการเสียวฟัน: เมื่อทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีอุณหภูมิร้อนหรือเย็น อาจรู้สึกเสียวฟันมากขึ้น
- เห็นรอยผุหรือจุดดำที่ฟัน: อาจมีรอยแตกหรือจุดดำที่เห็นได้จากภายนอกฟัน
- อาการบวมและแดงรอบๆ ฟัน: อาจเกิดการติดเชื้อที่ฟันทำให้เหงือกบวมแดง
- มีกลิ่นปากหรือรสไม่ดี: การติดเชื้อในฟันที่ผุอาจทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์จากภายในช่องปาก
แต่สำหรับการตรวจเช็กอย่างละเอียดและการวินิจฉัยที่แน่นอนเกี่ยวกับการรักษารากฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์ เพราะหมอฟันจะสามารถใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น เอกซเรย์ฟัน หรือการตรวจสอบโดยตรงเพื่อประเมินสถานะของฟันและการรักษาที่เหมาะสมได้
การรักษารากฟันจะมีขั้นตอนการรักษาอย่างไรบ้าง
การรักษารากฟัน (Root Canal Treatment หรือ Endodontic Treatment) เป็นการรักษาฟันที่มีการติดเชื้อในโพรงรากฟันหรือเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในฟัน ซึ่งจะช่วยรักษาฟันให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ โดยไม่ต้องถอนฟันออก การรักษารากฟันจะทำตามขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
- การตรวจวินิจฉัย:
- ทันตแพทย์จะเริ่มต้นด้วยการตรวจฟันโดยการสังเกตและใช้เอกซเรย์ฟัน เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในฟัน
- การทำการฉีดยาชา:
- การรักษารากฟันมักจะมีการฉีดยาชาเพื่อให้คุณไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการรักษา
- การเปิดโพรงฟัน:
- ทันตแพทย์จะทำการเปิดรูที่บริเวณบนของฟันเพื่อเข้าถึงโพรงรากฟันที่มีการติดเชื้อหรือเนื้อเยื่อฟันที่ตายแล้ว
- การขจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ:
- ภายในโพรงรากฟันจะมีเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ทันตแพทย์จะทำการกำจัดออก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
- การทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ:
- ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษในการทำความสะอาดช่องรากฟันและฆ่าเชื้อโรคภายในช่องฟัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- การอุดรากฟัน:
- หลังจากทำความสะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว ทันตแพทย์จะทำการอุดรากฟันด้วยวัสดุที่ปลอดภัยและทนทาน เช่น ยางฟันหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อปิดช่องรากฟันที่ถูกขจัดเนื้อเยื่อออกไป
- การอุดฟันด้านบน:
- หลังจากอุดรากฟันเสร็จแล้ว ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันด้านบนที่เปิดออกเพื่อให้ฟันแข็งแรงและสามารถใช้งานได้ตามปกติ
- การติดตามผล:
- ทันตแพทย์จะนัดตรวจฟันในระยะหลังการรักษาเพื่อดูผลการรักษาและตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
ในบางกรณี ฟันที่ทำการรักษารากฟันอาจจะต้องทำการครอบฟันเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดอายุการใช้งานของฟัน
การรักษารากฟันจะช่วยรักษาฟันให้คงอยู่ได้และป้องกันการสูญเสียฟัน ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาฟันที่มีปัญหาในโพรงรากฟัน

ฟันที่เคยทำการรักษารากแล้ว จะสามารถผุซ้ำได้อีกหรือไม่
ฟันที่เคยทำการรักษารากฟันแล้วสามารถผุซ้ำได้อีกได้ แต่จะเกิดขึ้นในกรณีที่มีปัจจัยบางประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:
- วัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน:
- หากวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันไม่ทนทาน หรือมีการสึกหรอจากการใช้งาน ฟันอาจจะเกิดการผุได้อีก โดยเฉพาะบริเวณที่เคยทำการรักษารากฟัน หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี
- การครอบฟัน (Crown):
- หลังจากรักษารากฟัน ฟันอาจจะได้รับการครอบด้วยครอบฟันเพื่อเพิ่มความแข็งแรง แต่ถ้าไม่มีการครอบฟันหรือครอบฟันหลวม ฟันอาจมีโอกาสที่จะผุได้จากการสัมผัสกับอาหารหรือแบคทีเรีย
- การดูแลรักษาฟัน:
- การแปรงฟันและการดูแลสุขภาพช่องปากไม่เพียงพอ เช่น การไม่ใช้ไหมขัดฟันหรือไม่ไปหาหมอฟันตรวจเช็กตามระยะเวลาที่กำหนด ก็อาจทำให้แบคทีเรียสะสมและทำให้ฟันที่รักษารากฟันแล้วเกิดการผุซ้ำได้
- การติดเชื้อใหม่:
- หากฟันที่รักษารากฟันแล้วเกิดการติดเชื้อใหม่จากแบคทีเรียที่ไม่ถูกกำจัดหมดหรือจากปัญหาอื่นๆ เช่น การรั่วของวัสดุที่อุดไว้ ฟันก็อาจจะผุซ้ำได้
- การใช้ฟันในการบดเคี้ยว:
- ฟันที่ได้รับการรักษารากฟันอาจมีความเปราะบางมากขึ้น เมื่อใช้งานหนักหรือกัดอาหารแข็งๆ โดยไม่ระมัดระวัง ก็อาจทำให้ฟันเกิดรอยแตกหรือเสียหาย และทำให้เกิดการผุได้
การตรวจสุขภาพช่องปากและการดูแลฟันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการใช้ครอบฟันที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันฟันที่รักษารากฟันแล้วไม่ให้ผุซ้ำได้ครับ
ฟันที่ทำการรักษารากแล้วจะมีวิธีดูแลอย่างไร
การดูแลฟันที่ผ่านการรักษารากฟัน (Root Canal Treatment) อย่างถูกต้องสามารถช่วยให้ฟันไม่ผุหรือแตกอีกในอนาคต โดยมีวิธีดูแลดังนี้:
- การใช้ครอบฟัน (Crown):
- หลังจากรักษารากฟัน ควรทำการครอบฟันเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันฟันแตก เพราะฟันที่รักษารากฟันแล้วมักจะอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการแตกได้ การครอบฟันจะช่วยให้ฟันแข็งแรงขึ้นและลดความเสี่ยงในการแตกหรือผุ
- การแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ:
- ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยแปรงฟันขนไนลอนอ่อน (ไม่แข็งเกินไป) เพื่อทำความสะอาดทั้งฟันและบริเวณรอบๆ ครอบฟัน แนะนำให้ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เพื่อช่วยป้องกันฟันผุ
- การใช้ไหมขัดฟัน:
- การใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอช่วยทำความสะอาดระหว่างซอกฟันและครอบฟัน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียสะสมที่อาจทำให้ฟันผุหรือเกิดการติดเชื้อใหม่
- หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่ทำให้ฟันเสี่ยง:
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารแข็งมากเกินไป เช่น ถั่วแข็ง หรือเคี้ยวข้าวโพดในฝัก เพราะฟันที่รักษารากฟันแล้วอาจมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการแตกได้
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกรดสูง เช่น น้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดการกัดกร่อนของฟัน
- ตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ:
- ควรไปพบหมอฟันเพื่อตรวจเช็กฟันทุกๆ 6 เดือน หรือตามคำแนะนำของหมอฟัน การตรวจเช็กอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาก่อนที่มันจะลุกลาม
- หลีกเลี่ยงการกัดหรือบีบของแข็งๆ หรือไม่ใช้ฟันในงานที่หนักเกินไป:
- อย่าใช้ฟันที่รักษารากฟันในการเปิดขวดหรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงให้ฟันได้รับความเครียดหรือแรงกดที่อาจทำให้แตกได้
- ดูแลการติดเชื้อหลังการรักษา:
- หากรู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการผิดปกติหลังจากการรักษารากฟัน เช่น บวม หรือมีอาการปวดที่ไม่หายไป ควรรีบไปพบหมอฟันทันทีเพื่อตรวจหาการติดเชื้อหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายในฟัน
การดูแลฟันที่ผ่านการรักษารากฟันให้ถูกต้องและสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานของฟันและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อไป