ปวดฟัน เกิดจากหลายสาเหตุ หาหมอฟันอุบลราชธานี ตรวจ รักษา อย่าให้ความปวดรบกวนชีวิตประจำวัน

สาเหตุของอาการปวดฟัน

อาการปวดฟันสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้:

  1. ฟันผุ (Cavities): เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ฟันที่ผุจะทำให้เนื้อฟันหรือเส้นประสาทภายในฟันได้รับความเสียหาย ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อสัมผัส หรือเมื่อรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็น
  2. โรคเหงือก (Gum Disease): การติดเชื้อหรือการอักเสบของเหงือกสามารถทำให้เกิดอาการปวดที่ฟันหรือรอบๆ ฟัน สาเหตุอาจเกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ที่ไม่ทำความสะอาดอย่างถูกต้อง
  3. ฟันคุด (Wisdom Teeth): เมื่อฟันคุดขึ้นหรือฟันไม่ได้มีพื้นที่ในการขึ้นอย่างเต็มที่ อาจทำให้เกิดการอักเสบและปวดที่บริเวณฟันหรือเหงือก
  4. การสึกของฟัน (Tooth Wear): การเคี้ยวหรือการกัดที่ผิดปกติ เช่น การบดฟันขณะนอนหลับ อาจทำให้ฟันเสียหายและเกิดอาการปวดได้
  5. ฟันแตกหรือร้าว: การกระแทกหรือการกัดบางสิ่งที่แข็งอาจทำให้ฟันแตกหรือร้าว ซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดได้
  6. การอักเสบของเนื้อฟัน (Pulpitis): การติดเชื้อหรือการอักเสบในเนื้อฟันสามารถทำให้เกิดอาการปวดฟันอย่างรุนแรง ซึ่งอาจต้องรักษาด้วยการรักษารากฟัน

หากอาการปวดฟันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือรุนแรง ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อการตรวจและรักษาอย่างถูกต้องค่ะ

วิธีทำให้หายปวดฟัน

การรักษาอาการปวดฟันขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการปวด แต่หากคุณต้องการบรรเทาอาการปวดชั่วคราวจนกว่าจะได้พบทันตแพทย์ นี่คือลิสต์วิธีที่อาจช่วยได้:

  1. ใช้ยารักษาปวด:
    • ยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ โดยเฉพาะการใช้ยาในขนาดที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์หรือคำแนะนำในฉลาก
  2. บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ:
    • ผสมน้ำเกลือในอัตราส่วน 1 ช้อนชาเกลือกับน้ำอุ่น 1 แก้ว แล้วใช้บ้วนปากประมาณ 30 วินาที น้ำเกลือจะช่วยฆ่าเชื้อและลดการอักเสบได้
  3. ประคบเย็น:
    • ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือถุงน้ำแข็งที่ห่อด้วยผ้าแล้วประคบบริเวณแก้มข้างที่มีอาการปวด จะช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการบวมได้
  4. หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็น:
    • หากฟันมีอาการเสียวหรือปวด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีอุณหภูมิร้อนหรือเย็น เพราะอาจทำให้ปวดมากขึ้น
  5. ใช้เจลหรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของเบนโซเคน (Benzocaine):
    • เจลหรือยาชาภายนอกที่มีเบนโซเคนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดชั่วคราวที่ฟันได้ โดยการทาเฉพาะจุดที่มีอาการ
  6. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารในบริเวณที่มีอาการปวด:
    • การเคี้ยวในฝั่งที่ไม่เจ็บจะช่วยลดการระคายเคืองให้กับฟันที่มีปัญหา

อย่างไรก็ตาม, การบรรเทาอาการปวดฟันเหล่านี้เป็นเพียงวิธีชั่วคราวเท่านั้น หากอาการปวดฟันยังคงอยู่หรือลุกลาม ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาที่เหมาะสมค่ะ

ถ้าฟันผุแล้วปล่อยไว้นาน

หากฟันผุแล้วปล่อยไว้โดยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างที่ร้ายแรงขึ้น เช่น:

  1. การติดเชื้อรุนแรง (Abscess):
    • เมื่อฟันผุไปถึงเส้นประสาทภายในฟัน (เนื้อฟัน) อาจเกิดการติดเชื้อที่ปลายรากฟัน ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบและอาการบวม อาจพบหนองที่บริเวณเหงือกข้างฟันที่ผุ การติดเชื้อเหล่านี้อาจลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายและกลายเป็นอันตรายได้
  2. ฟันแตกหรือร้าว:
    • ฟันที่มีการผุหนักๆ จะมีความเปราะบางและอาจแตกหักได้ง่าย หากปล่อยให้ฟันผุนานๆ จนเกิดการเสื่อมสภาพ อาจทำให้ฟันแตกจนไม่สามารถบูรณะหรือรักษาได้
  3. การสูญเสียฟัน:
    • หากการผุของฟันเกิดขึ้นไปจนถึงขั้นที่ไม่สามารถรักษาได้ ฟันอาจต้องถูกถอนออก เนื่องจากไม่มีวิธีการรักษาที่สามารถทำให้ฟันกลับมาฟื้นตัวได้
  4. ปัญหาสุขภาพเหงือก:
    • ฟันผุอาจทำให้เกิดโรคเหงือก เช่น เหงือกอักเสบ หรือโรคเหงือกที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากการสะสมของแบคทีเรียที่เกิดจากฟันผุ
  5. ผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม:
    • การติดเชื้อจากฟันผุสามารถกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น กระแสเลือด ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ไต หรืออวัยวะอื่นๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน

การรักษาฟันผุในระยะแรกๆ สามารถทำได้ง่ายและไม่แพงมาก เช่น การอุดฟัน แต่หากปล่อยไว้จนฟันผุลึกหรือเกิดการติดเชื้อ อาจต้องการการรักษาที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การรักษารากฟัน หรือการถอนฟัน

ดังนั้น, การไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาฟันผุให้เร็วที่สุดจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงในอนาคตค่ะ