ความสำคัญของฟันน้ำนม
ฟันน้ำนมมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาการของเด็ก โดยมีบทบาทหลักดังนี้:
- ช่วยในการเคี้ยวอาหาร: ฟันน้ำนมมีหน้าที่ในการเคี้ยวอาหาร ซึ่งช่วยให้เด็กสามารถรับประทานอาหารที่หลากหลายและมีโภชนาการที่ดีในช่วงการเจริญเติบโต
- พัฒนาการของการพูด: ฟันน้ำนมช่วยในการควบคุมการออกเสียงและพัฒนาการพูดในเด็ก โดยการมีฟันที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กสามารถพูดได้ชัดเจน
- สร้างรอยยิ้มและความมั่นใจ: ฟันน้ำนมที่แข็งแรงและเรียงตัวอย่างดีจะช่วยให้เด็กมีรอยยิ้มที่สวยงาม และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง
- เก็บที่ว่างสำหรับฟันแท้: ฟันน้ำนมช่วยในการจัดระเบียบและเก็บที่ว่างสำหรับฟันแท้ที่จะมาแทนที่ฟันน้ำนมเมื่อเด็กโตขึ้น
- ป้องกันปัญหาทางทันตกรรมในอนาคต: การดูแลรักษาฟันน้ำนมอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันปัญหาทางทันตกรรมในอนาคต เช่น การผุของฟัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อฟันแท้ที่ขึ้นมาในภายหลัง
ดังนั้น การดูแลฟันน้ำนมตั้งแต่ยังเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กในหลายๆ ด้าน.
ฟันน้ำนมแบบไหนที่ต้องถอน
ฟันน้ำนมที่จำเป็นต้องถอนมีหลายกรณี ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพฟันและสาเหตุที่เกี่ยวข้อง นี่คือบางกรณีที่อาจต้องถอนฟันน้ำนม:
- ฟันผุรุนแรง: หากฟันน้ำนมผุจนถึงขั้นที่ไม่สามารถบูรณะหรือรักษาได้ เช่น ผุจนถึงเส้นประสาทในฟัน หรือการรักษาคลองรากฟันไม่สามารถทำได้ ฟันนั้นอาจต้องถอนเพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือปัญหาที่เกิดขึ้นกับฟันถาวรที่กำลังจะขึ้นมา
- ฟันน้ำนมเคลื่อนหรือหลวมมาก: หากฟันน้ำนมมีการเคลื่อนหรือหลวมมากจนไม่สามารถเกาะติดกับเหงือกได้ดี อาจจำเป็นต้องถอนเพื่อให้ฟันถาวรขึ้นแทนที่
- ฟันน้ำนมที่เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ: ฟันน้ำนมที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากของเด็ก รวมถึงฟันถาวรที่กำลังขึ้นมา การถอนฟันในกรณีนี้จะช่วยหยุดการติดเชื้อ
- ฟันที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติ: บางครั้งฟันน้ำนมอาจไม่ได้หลุดออกตามธรรมชาติ หรืออาจมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เช่น การเบียดหรือการเติบโตในทิศทางที่ผิด ซึ่งอาจจำเป็นต้องถอนเพื่อให้ฟันถาวรขึ้นมาอย่างถูกต้อง
- ฟันน้ำนมที่ทำให้เกิดปัญหาในการจัดฟัน: หากฟันน้ำนมมีการเบียดฟันถาวร หรือทำให้ฟันถาวรไม่สามารถขึ้นมาได้ในตำแหน่งที่เหมาะสม การถอนฟันน้ำนมอาจเป็นสิ่งจำเป็นในบางกรณี
การตัดสินใจว่าจะถอนฟันน้ำนมหรือไม่นั้นควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินสภาพฟันและสุขภาพช่องปากของเด็กอย่างถูกต้อง.

ฟันน้ำนมผุเพราะอะไร
ฟันน้ำนมผุเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดูแลฟันและสุขภาพช่องปากของเด็ก โดยปัจจัยที่ทำให้ฟันน้ำนมผุมีดังนี้:
- การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง: การรับประทานขนมหวาน หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง (เช่น น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มหวาน) บ่อยครั้งในระหว่างวันสามารถทำให้เกิดกรดในช่องปาก ซึ่งกรดนี้จะทำลายเคลือบฟันและทำให้ฟันผุได้
- การไม่แปรงฟันอย่างถูกต้อง: หากเด็กไม่ได้แปรงฟันหลังรับประทานอาหารหรือก่อนนอน ฟันจะสะสมคราบพลัค (Plaque) ซึ่งเป็นแหล่งของแบคทีเรียที่ผลิตกรดที่ทำลายเคลือบฟัน ทำให้เกิดฟันผุได้
- การดื่มนมหรือของหวานในขวดนมก่อนนอน: หากเด็กดื่มนมหรือของหวานในขวดนมและนอนหลับทันทีโดยไม่แปรงฟัน แบคทีเรียในช่องปากจะเจริญเติบโตและทำลายฟัน จึงทำให้ฟันผุได้อย่างรวดเร็ว
- การขาดการดูแลฟัน: การไม่ไปพบทันตแพทย์เพื่อการตรวจฟันอย่างสม่ำเสมออาจทำให้ปัญหาฟันผุไม่ถูกตรวจพบและรักษาในระยะเริ่มต้น
- ความแห้งของช่องปาก: หากเด็กมีปัญหาการผลิตน้ำลายไม่เพียงพอ เช่น เนื่องจากการใช้ยาบางชนิดหรือลักษณะทางกายภาพบางอย่าง ก็สามารถทำให้ช่องปากแห้ง ซึ่งส่งผลให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดฟันผุได้
- พันธุกรรมและโครงสร้างฟัน: บางกรณี เด็กอาจมีโครงสร้างฟันที่อ่อนแอหรือความเสี่ยงทางพันธุกรรมในการเกิดฟันผุ ซึ่งทำให้ฟันน้ำนมมีโอกาสผุได้ง่ายขึ้น
เพื่อป้องกันฟันผุในเด็ก ควรให้เด็กแปรงฟันอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ใช้ไหมขัดฟัน (หากเด็กสามารถทำได้) เลี่ยงการให้ขนมหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลบ่อยๆ และพาเด็กไปตรวจฟันกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ.
วิธีดูแลฟันน้ำนมเด็ก
การดูแลฟันน้ำนมของเด็กมีความสำคัญมากในการส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีและป้องกันฟันผุ นี่คือวิธีดูแลฟันน้ำนมที่สามารถทำได้:
1. แปรงฟันตั้งแต่เริ่มมีฟัน
- เมื่อฟันน้ำนมเริ่มขึ้น ควรเริ่มแปรงฟันให้เด็กโดยใช้แปรงฟันขนอ่อนและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ในปริมาณเล็กน้อย (สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ควรใช้ยาสีฟันขนาดเม็ดข้าวโพด)
- แปรงฟันเด็กอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) เพื่อป้องกันการสะสมของคราบพลัค
2. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหวานบ่อยๆ
- ลดการให้เด็กดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม เครื่องดื่มหวาน หรือการดื่มนมในขวดนมแล้วนอนหลับทันที เพราะน้ำตาลจะกลายเป็นอาหารให้แบคทีเรียในช่องปากผลิตกรด ซึ่งสามารถทำลายเคลือบฟันและทำให้ฟันผุได้
- หากต้องการให้เด็กดื่มนม หรือเครื่องดื่มหวาน ควรให้ดื่มในระยะเวลาสั้นๆ และให้แปรงฟันหลังจากนั้น
3. ใช้ไหมขัดฟัน
- เมื่อฟันของเด็กเรียงตัวใกล้ชิดกันมากขึ้น (โดยปกติจะเริ่มเมื่อเด็กอายุประมาณ 2-3 ปี) ควรเริ่มใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดช่องว่างระหว่างฟันที่แปรงฟันไม่สามารถเข้าถึงได้
4. ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
- พาเด็กไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ ควรเริ่มตั้งแต่อายุ 1 ขวบเพื่อให้ทันตแพทย์ตรวจสอบการเจริญเติบโตของฟันและให้คำแนะนำในการดูแลช่องปากที่เหมาะสม
5. ให้เด็กทานอาหารที่ดีต่อฟัน
- อาหารที่ดีต่อฟันคืออาหารที่มีแคลเซียม เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และอาหารที่ไม่หวานเกินไป ช่วยให้ฟันแข็งแรง
- ลดการให้ขนมหวาน เช่น ขนมที่เหนียว หรือที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งสามารถติดตามฟันและทำให้เกิดฟันผุได้
6. ดูแลเรื่องการขัดฟัน
- ถ้าฟันน้ำนมมีปัญหาหรือเริ่มผุ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อการรักษาหรือขัดฟันตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปยังฟันถาวร
7. ดูแลเหงือก
- ไม่เพียงแต่ฟันเท่านั้นที่ต้องดูแล แต่ยังต้องใส่ใจการทำความสะอาดเหงือกของเด็กด้วย โดยใช้ผ้าสะอาดหรือแปรงฟันเด็กที่ไม่มีขนเมื่อเด็กยังไม่สามารถแปรงฟันเองได้
การดูแลฟันน้ำนมตั้งแต่เริ่มต้นไม่เพียงแค่ช่วยให้ฟันน้ำนมของเด็กแข็งแรง แต่ยังช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการพูดและการเคี้ยวที่ดี รวมทั้งป้องกันปัญหาฟันในอนาคตได้.