โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) เป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเหงือก ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียที่อยู่บนผิวฟันและเหงือก หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม อาจพัฒนาไปสู่โรคปริทันต์ที่รุนแรงขึ้นได้ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงการดูแลและรักษาโรคเหงือกอักเสบให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งวิธีการป้องกันไม่ให้โรคนี้เกิดขึ้นซ้ำในอนาคต

สาเหตุของโรคเหงือกอักเสบ
โรคเหงือกอักเสบเกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์บนฟันที่ไม่ถูกทำความสะอาดอย่างเหมาะสม คราบจุลินทรีย์เหล่านี้จะก่อตัวขึ้นเป็นคราบหินปูน ซึ่งจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียที่ทำให้เหงือกอักเสบ เมื่อแบคทีเรียเติบโตและมีการสะสมมากขึ้น ทำให้เหงือกบวม แดง และอาจมีเลือดออกเวลาส brushing หรือ flossing
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ ได้แก่
- การแปรงฟันที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สม่ำเสมอ
- การใช้ไหมขัดฟันอย่างไม่ถูกต้อง
- การสูบบุหรี่
- การขาดวิตามินซี
- ความเครียด
- ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
อาการของโรคเหงือกอักเสบ
โรคเหงือกอักเสบมีอาการที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ได้แก่:
- เหงือกบวม แดง และมีเลือดออกเวลาแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
- ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
- อาการปวดหรือเสียวในบริเวณเหงือก
- ฟันหลวมและเคลื่อนไหวได้ (ในกรณีที่โรคเกิดขึ้นรุนแรง)
หากไม่ทำการรักษา โรคเหงือกอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคปริทันต์ หรือโรคฟันผุที่เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ที่ไม่ถูกกำจัด
การดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบ
การดูแลรักษาโรคเหงือกอักเสบมีขั้นตอนที่สามารถทำได้เองที่บ้าน และควรได้รับการดูแลจากทันตแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปสู่ขั้นรุนแรง:
1. แปรงฟันอย่างถูกวิธี
การแปรงฟันอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการรักษาโรคเหงือกอักเสบ ควรแปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน โดยใช้แปรงฟันที่มีขนนุ่มและยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ แปรงในลักษณะวงกลมอ่อนๆ เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือก และไม่ควรแปรงฟันแรงเกินไป เพราะอาจทำให้เหงือกบาดเจ็บได้
2. ใช้ไหมขัดฟัน
การใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันเป็นวิธีการที่สำคัญในการกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่ซ่อนอยู่ระหว่างฟันและเหงือก ซึ่งการแปรงฟันเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถทำได้หมด ควรใช้ไหมขัดฟันอย่างระมัดระวังในทุกๆ ช่องว่างระหว่างฟัน
3. การใช้ยาบ้วนปาก
การใช้ยาบ้วนปากที่มีสารฆ่าเชื้อโรคจะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ แต่ควรเลือกใช้ยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพื่อลดการระคายเคืองต่อเหงือก

4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรับประทานอาหารที่มีวิตามิน C สูง เช่น ผลไม้และผักสด จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยรักษาเหงือกให้อยู่ในสภาพที่ดี นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ
5. หยุดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบและทำให้โรคดำเนินไปเร็วขึ้น หากคุณสูบบุหรี่ ควรพยายามหยุดหรือขอลดการสูบบุหรี่เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคเหงือกอักเสบ
6. ตรวจสุขภาพฟันกับทันตแพทย์
การพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือนจะช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาในช่องปากได้แต่เนิ่นๆ หากคุณพบอาการผิดปกติหรืออาการเหงือกอักเสบ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและรักษาอย่างถูกวิธี
การรักษาในคลินิกทันตกรรม
หากโรคเหงือกอักเสบไม่ดีขึ้นจากการดูแลรักษาที่บ้าน ทันตแพทย์อาจต้องใช้วิธีการรักษาในคลินิก เช่น:
- การทำความสะอาดฟันลึก (Scaling and Root Planing) เพื่อกำจัดคราบหินปูนและแบคทีเรียที่สะสมอยู่ใต้เหงือก
- การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกรณีที่มีการติดเชื้อ
- การแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องปากที่เหมาะสม
สรุป
โรคเหงือกอักเสบเป็นภาวะที่สามารถรักษาได้หากได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น การแปรงฟันอย่างถูกวิธี ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ และการไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคในช่องปากอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การรักษาความสะอาดในช่องปากอย่างสม่ำเสมอและการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่และการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเพื่อสุขภาพเหงือกและฟันที่ดีในระยะยาว