รักษาเหงือกอักเสบอุบลราชธานี รักษาฟื้นฟูสุขภาพเหงือกให้ดีขึ้น เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี ปรึกษาคลินิกได้วันนี้

เหงือกอักเสบเกิดจากอะไร

เหงือกอักเสบเกิดจากการสะสมของคราบพลัคและหินปูนบนผิวฟันและขอบเหงือก ซึ่งแบคทีเรียในคราบพลัคจะปล่อยสารพิษที่กระตุ้นให้เหงือกเกิดการอักเสบ โดยสาเหตุที่พบบ่อยของเหงือกอักเสบได้แก่:

  1. การดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดี – การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันไม่เพียงพอจะทำให้คราบพลัคสะสมมากขึ้น
  2. อาหาร – การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูงส่งผลให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย
  3. พฤติกรรมการสูบบุหรี่ – การสูบบุหรี่จะเพิ่มโอกาสให้เกิดคราบพลัคและหินปูนสะสม
  4. ฮอร์โมน – การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิง เช่น ขณะตั้งครรภ์หรือช่วงมีประจำเดือน อาจทำให้เหงือกไวต่อการอักเสบมากขึ้น
  5. การใช้ยาบางชนิด – ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต หรือยากดภูมิคุ้มกัน อาจส่งผลให้เหงือกอักเสบได้ง่าย
  6. ปัจจัยทางพันธุกรรม – บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดปัญหาเหงือกได้ง่ายกว่าคนอื่น

การป้องกันเหงือกอักเสบสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสม

เหงือกอักเสบรักษาแบบไหน

การรักษาเหงือกอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ดังนี้:

  1. การทำความสะอาดฟันและขูดหินปูน – การขูดหินปูนและขจัดคราบพลัคที่สะสมอยู่บนฟันและขอบเหงือกเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ซึ่งควรทำโดยทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
  2. การใช้ยาฆ่าเชื้อ – ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาสมานเหงือก เช่น ยาอม ยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของคลอร์เฮกซิดีน (Chlorhexidine) หรือยาที่ช่วยลดการอักเสบของเหงือก
  3. การดูแลสุขภาพช่องปากที่บ้าน – การแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้งและใช้ไหมขัดฟันทุกวันเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันไม่ให้เหงือกอักเสบกลับมาอีก นอกจากนี้ ควรใช้แปรงฟันที่มีขนแปรงนุ่มเพื่อไม่ให้ทำร้ายเหงือก
  4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม – หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดคราบพลัคและหินปูน
  5. การดูแลสุขภาพโดยรวม – การรับประทานอาหารที่สมดุลและการรักษาระดับภูมิคุ้มกันที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบในช่องปาก

หากอาการเหงือกอักเสบไม่ดีขึ้นหลังจากดูแลตัวเองที่บ้าน หรือมีอาการเหงือกบวม เจ็บ และเลือดออกขณะใช้ไหมขัดฟัน ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจรักษาอย่างละเอียด

เหงือกอักเสบหายเองได้ไหม

เหงือกอักเสบสามารถหายได้เองในบางกรณี หากเป็นเพียงอาการอักเสบเบา ๆ และได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีอย่างต่อเนื่อง เช่น การแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากทุกวัน อาการอักเสบอาจลดลงและหายไปได้เอง อย่างไรก็ตาม ถ้าอาการเหงือกอักเสบยังคงมีอยู่หรือลุกลาม อาจทำให้เกิดภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น โรคปริทันต์ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียฟันในอนาคตได้

เพื่อป้องกันการลุกลามของอาการ ควรปรึกษาทันตแพทย์และเข้ารับการทำความสะอาดฟันและขูดหินปูนอย่างสม่ำเสมอ

โรคเหงือกอักเสบอันตรายไหม

โรคเหงือกอักเสบเป็นอาการที่ควรให้ความสำคัญ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามกลายเป็นโรคปริทันต์ (Periodontitis) ซึ่งเป็นอาการอักเสบของเนื้อเยื่อและกระดูกที่ยึดฟัน ทำให้ฟันโยกหรือหลุดได้ในที่สุด นอกจากนี้ โรคเหงือกอักเสบยังอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม เช่น:

  1. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด – การอักเสบเรื้อรังในช่องปากอาจส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันหรืออักเสบ
  2. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน – การอักเสบของเหงือกอาจทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะเบาหวานอยู่แล้ว
  3. เพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์ – การติดเชื้อในช่องปากสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดหรือทารกมีน้ำหนักน้อยได้

ดังนั้น แม้โรคเหงือกอักเสบจะดูเป็นอาการเบา ๆ แต่หากไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงได้ ควรดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีและพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ

อมเกลือแก้เหงือกอักเสบได้ไหม

การอมเกลือหรือน้ำเกลือสามารถช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากเกลือมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ และช่วยลดการบวมของเหงือกได้ การใช้น้ำเกลือบ้วนปากอาจช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปากซึ่งเป็นสาเหตุของเหงือกอักเสบ

วิธีใช้น้ำเกลือในการบ้วนปาก:

  1. ผสมเกลือครึ่งช้อนชาในน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว
  2. บ้วนน้ำเกลือในช่องปากนาน 30 วินาทีถึง 1 นาที แล้วบ้วนทิ้ง
  3. ทำซ้ำวันละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร

อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำเกลือเป็นเพียงการบรรเทาอาการเบื้องต้น ไม่สามารถรักษาโรคเหงือกอักเสบได้โดยสมบูรณ์ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม

เหงือกอักเสบควรงดกินอะไร

เมื่อมีอาการเหงือกอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางประเภทที่อาจทำให้อาการอักเสบแย่ลง ได้แก่:

  1. อาหารหวาน – น้ำตาลจะเพิ่มการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้อาการอักเสบแย่ลง ควรงดขนมหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มหวานอื่น ๆ
  2. อาหารกรุบกรอบและแข็ง – อาหารประเภทนี้ เช่น ขนมขบเคี้ยวและอาหารทอด อาจไปกระแทกหรือระคายเคืองเหงือกได้ รวมถึงเศษอาหารอาจติดซอกฟันและเหงือกทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น
  3. อาหารรสจัด – อาหารที่เผ็ดหรือมีรสเปรี้ยวจัด อาจระคายเคืองเหงือกที่อักเสบ ทำให้รู้สึกเจ็บและบวมมากขึ้น
  4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ – แอลกอฮอล์อาจทำให้ช่องปากแห้งและเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมคราบพลัคและแบคทีเรีย ซึ่งอาจทำให้อาการเหงือกอักเสบลุกลามได้
  5. อาหารที่มีกรดสูง – อาหารที่มีกรด เช่น น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ น้ำส้ม อาจทำให้เหงือกที่อักเสบเกิดการระคายเคือง

เพื่อช่วยให้เหงือกฟื้นตัว ควรรับประทานอาหารที่อ่อนโยนต่อเหงือก เช่น อาหารนิ่ม ๆ และอุ่นพอเหมาะ และเน้นดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ปากชุ่มชื้น ลดการสะสมของแบคทีเรีย

เหงือกอักเสบต้องถอนฟันไหม

ในกรณีส่วนใหญ่ เหงือกอักเสบไม่จำเป็นต้องถอนฟัน หากได้รับการรักษาและดูแลอย่างเหมาะสม โรคเหงือกอักเสบสามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องถึงขั้นถอนฟัน ทันตแพทย์มักจะรักษาเหงือกอักเสบด้วยการขูดหินปูน ทำความสะอาดคราบพลัค และอาจใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่ร่วมด้วย

การถอนฟันจะพิจารณาเฉพาะในกรณีที่โรคเหงือกอักเสบลุกลามจนกลายเป็นโรคปริทันต์ (Periodontitis) ระยะรุนแรง ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียกระดูกยึดฟันจนไม่สามารถรักษาฟันให้อยู่ได้อีกต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ฟันอาจโยกหรือหลุดได้เอง และอาจต้องถอนออกเพื่อป้องกันการลุกลามของการติดเชื้อไปยังฟันซี่อื่น

ดังนั้น หากมีอาการเหงือกอักเสบ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามจนต้องถอนฟัน

ขูดหินปูนตอนเหงือกอักเสบได้ไหม

การขูดหินปูนในช่วงที่เหงือกอักเสบสามารถทำได้และมักจะเป็นส่วนสำคัญของการรักษาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ โดยการขูดหินปูนจะช่วยกำจัดคราบพลัคและหินปูนที่สะสมบนฟันและขอบเหงือก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหงือกอักเสบ

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่เหงือกอักเสบมีอาการรุนแรงหรือบวมมาก การขูดหินปูนอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรืออาจทำให้เหงือกบวมมากขึ้นชั่วคราว ดังนั้น ทันตแพทย์อาจจะทำการรักษาเบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดฟันและใช้น้ำเกลือหรือยาฆ่าเชื้อก่อน แล้วจึงขูดหินปูนในภายหลังเมื่ออาการบวมลดลง

หากมีความกังวลเกี่ยวกับการขูดหินปูนในช่วงที่เหงือกอักเสบ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อให้คำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของคุณ

ตุ่มหนองที่เหงือกเกิดจากอะไร

ตุ่มหนองที่เหงือก (หรือที่เรียกว่า “ฟันผุแบบมีหนอง” หรือ “Abscessed Gum”) เกิดจากการติดเชื้อในช่องปาก ซึ่งมักเกิดจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในช่องปากที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม การติดเชื้อเหล่านี้อาจทำให้เกิดการสะสมของหนอง ซึ่งเป็นผลจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อ

สาเหตุหลักของตุ่มหนองที่เหงือก ได้แก่:

  1. ฟันผุหรือการติดเชื้อในฟัน – การผุของฟันที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายไปที่เนื้อเยื่อรอบฟันและทำให้เกิดการติดเชื้อที่เหงือก ซึ่งอาจพัฒนาเป็นตุ่มหนองได้
  2. โรคเหงือก – การอักเสบของเหงือกจากโรคเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ (Periodontitis) อาจทำให้เกิดการติดเชื้อรอบ ๆ ฟันและเหงือก ส่งผลให้เกิดตุ่มหนอง
  3. การบาดเจ็บหรือแผลที่เหงือก – หากเหงือกถูกบาดหรือมีแผลจากการใช้ฟันขัดหรือบาดเจ็บจากอาหาร การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นในแผลเหล่านั้นและทำให้เกิดตุ่มหนอง
  4. การดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดี – การสะสมของคราบพลัคและหินปูนสามารถทำให้แบคทีเรียเติบโตและกระตุ้นการติดเชื้อที่เหงือกได้

อาการของตุ่มหนองที่เหงือกมักจะรวมถึงเหงือกบวม เจ็บ หรือรู้สึกกดดันบริเวณที่มีหนอง อาจมีเลือดออก หรือกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์

หากพบตุ่มหนองที่เหงือก ควรไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม โดยทันตแพทย์อาจทำการระบายหนองและรักษาการติดเชื้อ เช่น การทำความสะอาดฟัน ขูดหินปูน หรืออาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาการติดเชื้อ

ปวดเหงือกด้านในสุดเป็นอะไร

การปวดเหงือกด้านในสุด (ซึ่งมักจะอยู่บริเวณเหงือกที่ใกล้กับฟันกรามหรือฟันที่อยู่ในปากลึก) อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้:

  1. ฟันผุหรือการติดเชื้อในฟัน – หากฟันกรามหรือฟันซี่ในสุดมีฟันผุหรือมีการติดเชื้อ อาจทำให้เกิดอาการปวดที่เหงือกใกล้เคียงกับฟันที่มีปัญหา
  2. โรคเหงือก (เหงือกอักเสบหรือปริทันต์) – การสะสมของคราบพลัคและหินปูนสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่เหงือก ซึ่งอาจทำให้เหงือกบวม เจ็บ หรืออักเสบ โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้เคียงกับฟันกราม
  3. ฟันคุด (Wisdom Teeth) – ฟันกรามซี่ในสุดที่ไม่สามารถขึ้นได้เต็มที่ (ฟันคุด) อาจกดทับเหงือกหรือทำให้เหงือกอักเสบและปวดได้ โดยเฉพาะถ้าฟันคุดขึ้นมาครึ่งหนึ่งและทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณเหงือก
  4. การบาดเจ็บหรือการกัดฟัน – การที่ฟันมีการบาดเจ็บจากการแปรงฟันหรือการเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือมีการกัดฟันอาจทำให้เหงือกที่อยู่บริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองและปวด
  5. การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน – ในบางกรณี ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงต่าง ๆ เช่น การตั้งครรภ์หรือรอบประจำเดือน อาจทำให้เหงือกเกิดการอักเสบหรือระคายเคืองมากขึ้น

การปวดเหงือกด้านในสุดจึงอาจเป็นสัญญาณของปัญหาต่าง ๆ ในช่องปาก หากอาการปวดรุนแรงหรือไม่หายไป ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม