ผ่าฟันคุดอุบลราชธานี ดูแลสุขภาพช่องปาก เพื่อรอยยิ้มที่สดใส

ฟันคุดเป็นแบบไหน

ฟันคุดคือฟันที่ไม่สามารถขึ้นมาในตำแหน่งที่ถูกต้องได้ อาจเพราะมีเนื้อเยื่อ เหงือก หรือฟันข้างเคียงขวางอยู่ ซึ่งมักจะเกิดกับฟันกรามซี่สุดท้ายที่อยู่ด้านในสุดของขากรรไกร ฟันคุดอาจขึ้นมาแค่บางส่วนหรือไม่โผล่ขึ้นมาเลย ทำให้เกิดอาการปวดหรือบวมได้

ลักษณะของฟันคุดที่พบบ่อย ๆ ได้แก่:

  1. ฟันคุดที่ขึ้นบางส่วน – ฟันอาจโผล่ขึ้นมาเพียงบางส่วน ทำให้เกิดปัญหาเศษอาหารติดและทำความสะอาดยาก
  2. ฟันคุดที่เอียงหรือล้ม – ฟันคุดมักจะมีทิศทางเอียงไปทางฟันข้างเคียง ทำให้เกิดแรงดันและอาจส่งผลต่อการเรียงตัวของฟัน
  3. ฟันคุดที่ฝังอยู่ในกระดูก – ฟันคุดบางซี่อาจไม่ขึ้นเลย แต่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร ซึ่งอาจตรวจพบผ่านการเอกซเรย์เท่านั้น

อาการที่มักเกิดจากฟันคุด ได้แก่ ปวดฟัน บวมบริเวณเหงือก หรือเกิดการอักเสบในบางกรณี

ฟันคุดมีทุกคนไหม

ฟันคุดไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่พบได้บ่อยในคนส่วนใหญ่ ฟันคุดมักเกิดกับฟันกรามซี่สุดท้าย (ฟันกรามซี่ที่สาม) ซึ่งอยู่ด้านในสุดของขากรรไกร โดยทั่วไป ฟันคุดจะเริ่มขึ้นในช่วงอายุประมาณ 17-25 ปี แต่ก็มีบางคนที่ไม่มีฟันคุดเลย เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม โครงสร้างของขากรรไกร หรือการวิวัฒนาการของมนุษย์ที่มีการลดลงของจำนวนฟันกรามซี่สุดท้าย

ดังนั้น คนบางคนอาจมีฟันคุดขึ้นมาแค่บางซี่ หรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งพันธุกรรมและโครงสร้างของขากรรไกร

ฟันคุดไม่ใช่ปัญหา! เราช่วยคุณได้ทันที
หากคุณมีปัญหาฟันคุดที่เจ็บปวดหรือขัดขวางการใช้ชีวิต ผ่าฟันคุดอุบลราชธานี มาให้เราช่วยคุณด้วยบริการผ่าฟันคุดอย่างมืออาชีพ! ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและทีมทันตแพทย์เฉพาะทาง เราจะทำให้คุณกลับมาสดชื่นและมั่นใจในทุกๆวัน

ฟันคุดขึ้นตอนอายุกี่ปี

ฟันคุดมักจะเริ่มขึ้นในช่วงอายุประมาณ 17-25 ปี แต่บางคนอาจพบว่าฟันคุดขึ้นช้าหรือเร็วกว่านี้ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น พันธุกรรม โครงสร้างของขากรรไกร และสุขภาพของฟันโดยรวม

หากฟันคุดไม่ขึ้นในช่วงอายุนี้หรือไม่ขึ้นเลย บางครั้งจะทราบได้จากการเอกซเรย์เพื่อดูตำแหน่งของฟันในขากรรไกร

ฟันคุดปล่อยไว้ได้ไหม

ฟันคุดสามารถปล่อยไว้ได้หากไม่มีอาการเจ็บปวดหรือปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อฟันและเหงือก อย่างไรก็ตาม หากปล่อยไว้นานเกินไปและฟันคุดขึ้นมาไม่ถูกตำแหน่ง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากต่าง ๆ เช่น:

  1. การอักเสบของเหงือก – เนื่องจากฟันคุดขึ้นไม่สมบูรณ์ ทำให้เศษอาหารติดและทำความสะอาดยาก อาจทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกและเนื้อเยื่อโดยรอบ
  2. ฟันข้างเคียงเสียหาย – ฟันคุดที่เอียงหรือล้มมักดันฟันข้างเคียง ทำให้ฟันข้างเคียงเสียหายหรือเกิดฟันผุได้
  3. ฟันซ้อนและการเรียงตัวของฟันผิดปกติ – ฟันคุดที่ดันฟันข้างเคียงอาจส่งผลให้ฟันเรียงตัวผิดปกติ ซึ่งอาจจำเป็นต้องจัดฟันในภายหลัง
  4. ถุงน้ำและซีสต์ – ฟันคุดที่ฝังอยู่ในกระดูกบางครั้งอาจเกิดเป็นถุงน้ำหรือซีสต์ ซึ่งสามารถทำลายกระดูกและฟันรอบ ๆ ได้

หากพบฟันคุดแล้ว แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจดูว่าจำเป็นต้องผ่าหรือไม่ การดูแลฟันคุดอย่างเหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาช่องปากในระยะยาว

ฟันคุดหายเองได้ไหม

ฟันคุดไม่สามารถหายเองได้ เนื่องจากเป็นฟันที่ขึ้นมาในตำแหน่งที่ไม่ปกติหรือไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้เต็มที่ในช่องปาก ฟันคุดจะคงอยู่ในตำแหน่งเดิมและไม่สามารถเคลื่อนตัวไปที่อื่นได้เอง หากฟันคุดขึ้นมาทำให้เกิดปัญหาหรืออาการเจ็บปวด การรักษาที่ได้ผลคือต้องให้ทันตแพทย์พิจารณาการถอนฟันคุดออก

ถ้าปล่อยฟันคุดไว้โดยไม่จัดการอาจทำให้เกิดปัญหาช่องปากในระยะยาวได้ ดังนั้น ถ้ารู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดจากฟันคุด ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแล

รู้ได้ไงว่าปวดฟันคุด

อาการปวดฟันคุดมีลักษณะเฉพาะที่ช่วยให้เราสังเกตได้ว่าปัญหาเกิดจากฟันคุด โดยทั่วไปอาการที่บ่งบอกว่าฟันคุดอาจเป็นสาเหตุของความเจ็บปวดมีดังนี้:

  1. ปวดบริเวณหลังสุดของขากรรไกร – โดยเฉพาะฟันกรามด้านในสุด มักจะเป็นฟันกรามซี่สุดท้ายที่มีปัญหา
  2. เจ็บเหงือกหรือบวมรอบฟัน – ฟันคุดมักทำให้เหงือกบวม แดง หรืออักเสบเนื่องจากมีการดันออกมา
  3. ปวดร้าวไปถึงหูหรือขากรรไกร – หากฟันคุดดันแรง อาจทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปถึงขากรรไกรหรือบริเวณใกล้เคียง เช่น หูหรือศีรษะ
  4. การกลืนหรืออ้าปากลำบาก – บางครั้งฟันคุดที่อักเสบจะทำให้การอ้าปากหรือการกลืนรู้สึกไม่สะดวกหรือเจ็บ
  5. มีกลิ่นปากหรือรสไม่ดีในปาก – เนื่องจากเศษอาหารอาจติดในบริเวณฟันคุด ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย และเป็นสาเหตุของกลิ่นปากหรือรสไม่ดีในปาก

ถ้าพบอาการเหล่านี้หรือสงสัยว่าปวดฟันคุด ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

ฟันคุดแบบไหนที่ไม่ต้องผ่า

ฟันคุดบางซี่อาจไม่จำเป็นต้องผ่าออก ขึ้นอยู่กับลักษณะและตำแหน่งของฟัน รวมถึงผลกระทบที่ฟันคุดมีต่อช่องปาก โดยทั่วไป ฟันคุดที่ไม่จำเป็นต้องผ่าจะมีคุณสมบัติดังนี้:

  1. ฟันคุดที่ขึ้นตรงและสมบูรณ์ – ฟันคุดที่ขึ้นในแนวตั้งและไม่ดันฟันข้างเคียง สามารถใช้งานได้และไม่มีอาการปวดหรือการอักเสบ
  2. ฟันคุดที่ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือบวม – หากฟันคุดไม่มีอาการเจ็บปวด บวม หรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดกับเหงือกหรือฟันข้างเคียง อาจไม่จำเป็นต้องผ่าออก
  3. ฟันคุดที่ไม่กระทบต่อฟันข้างเคียง – ฟันคุดที่ขึ้นแล้วไม่ดันฟันกรามซี่ข้าง ๆ จนทำให้เกิดการเรียงตัวผิดปกติหรือมีแรงดันผิดปกติ
  4. ฟันคุดที่สามารถทำความสะอาดได้ง่าย – หากฟันคุดขึ้นมาในตำแหน่งที่สามารถแปรงฟันและทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุหรือเหงือกอักเสบได้

ทั้งนี้ ควรให้ทันตแพทย์ตรวจเพื่อประเมินว่า ฟันคุดนั้นมีโอกาสก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตหรือไม่ เพราะแม้ว่าฟันคุดบางซี่จะไม่มีปัญหาในตอนนี้ แต่ก็อาจทำให้เกิดปัญหาภายหลัง

การผ่าฟันคุด

การผ่าฟันคุดเป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ทำเพื่อเอาฟันคุดออก โดยเฉพาะกรณีที่ฟันคุดมีลักษณะเอียง ฝังอยู่ในเหงือกหรือกระดูก และก่อให้เกิดปัญหาเช่น ปวดฟัน อักเสบ หรือดันฟันข้างเคียง การผ่าฟันคุดมักดำเนินการโดยทันตแพทย์หรือศัลยแพทย์ช่องปาก โดยขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้:

  1. การฉีดยาชา – ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณที่ต้องผ่าเพื่อลดความเจ็บปวดในระหว่างการผ่า
  2. เปิดเหงือกและกระดูก – หากฟันคุดฝังอยู่ในเหงือกหรือกระดูก ทันตแพทย์จะเปิดเหงือกหรือกรอกระดูกออกเพื่อให้เข้าถึงฟันได้
  3. การแยกฟันเป็นส่วน ๆ – หากฟันคุดมีขนาดใหญ่และดึงออกยาก อาจต้องตัดฟันออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ดึงออกได้ง่ายขึ้น
  4. การดึงฟันคุดออก – ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือดึงฟันคุดออกจากกระดูกและเหงือก
  5. เย็บปิดแผล – หลังจากดึงฟันคุดออกแล้ว ทันตแพทย์จะเย็บแผลเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยไหมเย็บมักจะละลายเองได้ใน 1-2 สัปดาห์ หรือบางกรณีอาจต้องกลับมาให้ทันตแพทย์ตัดไหมออก

การดูแลหลังการผ่าฟันคุด:

  • ควรประคบเย็นบริเวณที่ผ่าในวันแรกเพื่อลดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูดหรือการบ้วนน้ำแรง ๆ เพราะอาจทำให้เลือดไหลหรือแผลเปิดได้
  • รับประทานอาหารอ่อนและหลีกเลี่ยงการเคี้ยวบริเวณที่ผ่า
  • รับประทานยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะตามที่ทันตแพทย์สั่ง
  • พักผ่อนเพียงพอและปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด

การผ่าฟันคุดเป็นกระบวนการทั่วไปและมีความปลอดภัยสูง แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดแผลรุนแรง บวม หรือเลือดออกมาก ควรติดต่อทันตแพทย์เพื่อประเมิน

หลังผ่าฟันคุดไม่ควรทำอะไร

หลังผ่าฟันคุดมีบางสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้แผลหายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนี้:

  1. อย่าบ้วนปากหรือบ้วนน้ำแรง ๆ – การบ้วนน้ำแรง ๆ อาจทำให้ลิ่มเลือดที่ปิดแผลหลุดออกมา ซึ่งอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุดและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  2. หลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูด – การใช้หลอดดูดต้องใช้แรงดูดในช่องปาก ซึ่งอาจทำให้แผลเปิดและลิ่มเลือดหลุดได้
  3. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ – ทั้งบุหรี่และแอลกอฮอล์อาจส่งผลให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้สูง
  4. อย่ากัดหรือเคี้ยวอาหารบริเวณแผล – ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ ที่เคี้ยวง่าย และหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารบริเวณแผลเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บแผลมากขึ้น
  5. ไม่ควรแตะหรือแหย่แผลด้วยลิ้นหรือนิ้ว – การแตะหรือสัมผัสแผลอาจทำให้แผลติดเชื้อได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณนั้นโดยตรง
  6. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก – ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นแรงหรือต้องใช้แรงมาก เช่น ออกกำลังกายหนัก ๆ เพราะอาจทำให้เลือดไหลออกมาจากแผล
  7. อย่านอนราบ – ในคืนแรกควรนอนศีรษะสูงด้วยการใช้หมอนเสริม เพื่อช่วยลดอาการบวมบริเวณแผล

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้แผลหายเร็วและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าฟันคุด

หลังผ่าฟันคุดกินอะไรได้บ้าง

หลังผ่าฟันคุด ควรเลือกกินอาหารที่อ่อนนุ่มและย่อยง่ายเพื่อช่วยลดการระคายเคืองของแผล อาหารที่แนะนำหลังผ่าฟันคุด ได้แก่:

  1. โจ๊กหรือข้าวต้ม – อาหารอ่อนที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก ช่วยให้ง่ายต่อการรับประทานและไม่กระทบแผล
  2. ซุป – เช่น ซุปฟักทอง ซุปไก่ หรือซุปผักบด จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารและน้ำเพียงพอ แต่ควรระวังไม่ให้ซุปร้อนเกินไป
  3. โยเกิร์ต – โยเกิร์ตมีเนื้อนุ่มและเย็น ช่วยลดอาการระคายเคืองของแผล และมีโปรไบโอติกที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร
  4. พุดดิ้งหรือเจลลี่ – ขนมเนื้อนุ่ม ไม่ต้องเคี้ยว และเย็น ช่วยให้ทานง่ายโดยไม่กระทบแผล
  5. มันบด – เนื้อนุ่มและเคี้ยวง่าย สามารถปรุงให้เนื้อเนียนได้ตามต้องการ
  6. ไข่ตุ๋น – เป็นแหล่งโปรตีนที่ย่อยง่ายและไม่ต้องเคี้ยวมาก
  7. กล้วยสุกบด – กล้วยมีเนื้อนุ่ม ทานง่าย และไม่รบกวนแผล
  8. น้ำผลไม้หรือสมูทตี้ – น้ำผลไม้หรือสมูทตี้เย็น ๆ ช่วยให้ร่างกายสดชื่นและได้รับวิตามิน แต่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเพราะอาจทำให้แผลระคายเคือง

ข้อควรระวัง:

  • หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว หรืออาหารที่ต้องเคี้ยวมาก
  • หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด ควรรอให้อาหารอุ่นลงก่อนรับประทาน
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและเปรี้ยว เพราะอาจทำให้แผลระคายเคือง

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดความเจ็บปวด