ทําไมต้องถอนฟัน
การถอนฟันอาจจำเป็นในหลายกรณีเพื่อลดความเจ็บปวดหรือป้องกันปัญหาสุขภาพในช่องปากที่อาจลุกลามได้ มาดูกันว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้ต้องถอนฟัน:
1. ฟันผุขั้นรุนแรง
- เมื่อฟันผุทะลุไปถึงเนื้อฟันและรากฟัน ทำให้การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น อุดฟัน หรือรักษารากฟัน ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
2. ฟันคุด
- ฟันที่งอกไม่เต็มที่หรือเอียง ทำให้เกิดการกดเบียดฟันข้างเคียง หรือมีอาการปวดและการอักเสบเรื้อรัง
3. ปัญหาสุขภาพเหงือก (โรคปริทันต์)
- หากเหงือกและกระดูกรอบฟันเสื่อมสภาพจนไม่สามารถยึดฟันไว้ได้ อาจต้องถอนฟันเพื่อป้องกันการติดเชื้อและปัญหาลุกลาม
4. การเตรียมช่องปากสำหรับการจัดฟัน
- บางครั้งต้องถอนฟันเพื่อจัดเรียงฟันให้สวยงามและทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการจัดฟัน
5. ฟันหักหรือแตกจนไม่สามารถซ่อมแซมได้
- หากฟันเสียหายมากจนไม่สามารถซ่อมด้วยการครอบฟันหรืออุดฟัน จำเป็นต้องถอนออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
6. ติดเชื้อเรื้อรังที่รากฟัน
- แม้จะรักษารากฟันแล้ว แต่ยังคงมีการติดเชื้ออยู่ อาจต้องถอนฟันเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
7. ฟันเกินหรือลักษณะฟันผิดปกติ
- บางคนมีฟันเกินจำนวนปกติ ทำให้ต้องถอนออกเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับฟันที่เหลือ
8. เหตุผลทางสุขภาพทั่วไป
- ในบางกรณี เช่น ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการรักษามะเร็งหรือปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แพทย์อาจแนะนำให้ถอนฟันที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
การถอนฟันควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม และควรดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีหลังการถอนเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเร่งให้แผลหายเร็วขึ้นค่ะ
ฟันแบบไหนที่ต้องถอน
ฟันที่จำเป็นต้องถอนจะมีลักษณะและปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ มาดูประเภทของฟันและอาการที่อาจต้องพิจารณาถอนกันค่ะ:
1. ฟันผุขั้นรุนแรง
- ฟันที่ผุลึกจนทะลุถึงโพรงประสาทฟันหรือรากฟัน
- หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเกิดการติดเชื้อที่กระดูกและเหงือก
2. ฟันคุด
- ฟันที่ไม่งอกขึ้นเต็มที่หรือเอียงไปกดเบียดฟันข้างเคียง
- ฟันกรามซี่สุดท้าย (ฟันกรามซี่ที่สาม) มักเป็นฟันคุดที่พบบ่อย
- การปล่อยฟันคุดไว้อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือปวดเรื้อรัง
3. ฟันที่มีโรคปริทันต์ (โรคเหงือก)
- ฟันที่เหงือกและกระดูกยึดฟันเสื่อมสภาพอย่างรุนแรง
- ฟันอาจโยกหรือหลุดออกจากเหงือก หากไม่ถอนจะเสี่ยงติดเชื้อเรื้อรัง
4. ฟันที่หักหรือแตกอย่างรุนแรง
- ฟันหักลึกจนถึงรากฟันหรือโคนฟัน ไม่สามารถซ่อมด้วยการอุดหรือครอบฟันได้
- ถ้าปล่อยไว้ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือปวดอย่างต่อเนื่อง
5. ฟันซ้อนเกิน
- ฟันที่งอกเกินจำนวนปกติและเบียดฟันอื่น ทำให้เกิดปัญหาการกัดและสุขภาพฟัน
- ในบางกรณีต้องถอนออกเพื่อให้ฟันเรียงตัวได้ดีขึ้น
6. ฟันที่ไม่สามารถรักษารากฟันได้
- หากรักษารากฟันแล้ว แต่ยังคงมีอาการติดเชื้อ หรือมีถุงหนองที่ปลายราก
- จำเป็นต้องถอนฟันเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
7. ฟันที่เตรียมสำหรับการจัดฟัน
- ในบางกรณีจำเป็นต้องถอนฟันเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเรียงตัวของฟันที่สวยงาม
- โดยเฉพาะในกรณีที่มีฟันซ้อนหรือเบียดกันมาก
8. ฟันที่มีการติดเชื้อเรื้อรัง
- แม้จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ฟันบางซี่อาจติดเชื้อซ้ำๆ จนต้องถอนออกเพื่อลดความเสี่ยง
ฟันที่จะต้องถอน ไม่ได้หมายความว่าเป็นตัวเลือกแรกเสมอไป ทันตแพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาอื่นๆ ก่อน เช่น อุดฟัน รักษารากฟัน หรือใส่ครอบฟัน แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ การถอนฟันจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมค่ะ
หากต้องถอนฟัน อย่าลืมดูแลแผลและปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและให้แผลหายเร็วขึ้นนะคะ
ฟันซ้อนหรือฟันคุด ฟันที่ไม่สามารถขึ้นได้ตามปกติ เช่น ฟันคุด หรือฟันที่ซ้อนกันอาจทำให้เกิดปัญหาการสบฟันและสุขภาพช่องปาก
ถอนฟันอุบลราชธานี ทำฟันโดยคุณหมอเฉพาะทาง ดูแลและทำการรักษาอย่างดีที่สุดค่ะ
ถอนฟันเจ็บไหม
การถอนฟันอาจทำให้หลายคนกังวลเรื่องความเจ็บปวด แต่ด้วยเทคนิคทางการแพทย์ในปัจจุบัน ความเจ็บจะถูกควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่าประสบการณ์ในการถอนฟันเป็นอย่างไร และจะเจ็บมากน้อยแค่ไหน:
1. ระหว่างการถอนฟัน
- ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะจุดบริเวณฟันที่จะถอน ทำให้บริเวณนั้นชา ไม่รู้สึกเจ็บ
- หากถอนฟันคุดที่ฝังอยู่ใต้เหงือก อาจใช้ยาชาเฉพาะที่ร่วมกับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป (เช่น การดมยา) เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและไม่รู้สึกตัว
- สิ่งที่อาจรู้สึกได้คือ แรงกดหรือแรงดึง แต่ไม่ใช่ความเจ็บ
2. หลังการถอนฟัน
- หลังยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการปวดหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นปกติ
- ทันตแพทย์มักจ่ายยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน เพื่อลดความเจ็บ
- หากเป็นฟันคุด อาจมีอาการปวดบวมมากกว่าการถอนฟันปกติ เนื่องจากมีการผ่าตัดเหงือกและกระดูกร่วมด้วย
3. การรับมือกับความเจ็บหลังการถอนฟัน
- ประคบเย็น บริเวณแก้มในช่วง 24 ชั่วโมงแรกเพื่อลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการใช้ฟันด้านที่ถอนเคี้ยวอาหาร
- หลีกเลี่ยงการดูดหรือบ้วนน้ำแรงๆ เพราะอาจทำให้แผลเปิดและเลือดไหล
- ควรงดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้แผลหายช้าลง
4. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิด
- หากมีอาการปวดอย่างรุนแรงหรือเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบกลับไปพบแพทย์ทันที
- Dry Socket (ถุงเลือดแห้ง) เป็นภาวะที่เลือดไม่ก่อตัวเป็นลิ่มในแผล ทำให้แผลเปิดและเกิดอาการปวดได้มากขึ้น
สรุป
การถอนฟันในปัจจุบันไม่เจ็บอย่างที่หลายคนกลัว เพราะยาชามีประสิทธิภาพในการระงับความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม หลังถอนอาจมีอาการปวดบ้าง ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยยาแก้ปวดและการดูแลแผลที่เหมาะสม หากมีความกังวล อย่าลังเลที่จะปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมนะคะ
ถอนฟันกัดผ้าก็อตกี่ชม.
หลังการถอนฟัน ทันตแพทย์จะแนะนำให้คุณ กัดผ้าก๊อซ เพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล มาดูกันว่าควรกัดนานเท่าไหร่และมีวิธีดูแลอย่างไร:
ระยะเวลาที่ควรกัดผ้าก๊อซ
- ประมาณ 30-60 นาที: โดยทั่วไป ผ้าก๊อซจะช่วยกดแผลและส่งเสริมการเกิดลิ่มเลือด (clot) เพื่อหยุดเลือด
- ถ้าหลังจาก 1 ชั่วโมงยังมีเลือดซึมออกมา สามารถเปลี่ยนผ้าก๊อซใหม่แล้วกัดต่ออีก 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
- อย่ากัดผ้าก๊อซนานเกินไป เพราะอาจทำให้แผลชื้นและฟื้นตัวช้าลง
ข้อแนะนำหลังการกัดผ้าก๊อซ
- หลีกเลี่ยงการบ้วนปากแรงๆ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก เพื่อไม่ให้ลิ่มเลือดหลุด
- อย่าดูดแผลหรือสัมผัสแผลด้วยลิ้น เพราะจะทำให้เลือดไหลซ้ำ
- หากยังมีเลือดซึมหลังจากเปลี่ยนผ้าก๊อซครั้งแรก ลองกัดก๊อซใหม่อีกครั้ง หรือลองใช้ถุงชาที่สะอาด (tannin ในชาอาจช่วยห้ามเลือดได้)
- ห้ามสูบบุหรี่หรือใช้หลอดดูด เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะถุงเลือดแห้ง (Dry Socket)
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?
- ถ้าเลือดยังไหลไม่หยุดหลังจาก 4-6 ชั่วโมง
- มีอาการปวดรุนแรงผิดปกติ หรือแผลมีกลิ่นเหม็น
สรุปคือ กัดผ้าก๊อซประมาณ 30-60 นาที ก็เพียงพอในกรณีส่วนใหญ่ และหากเลือดซึมอีกก็สามารถเปลี่ยนผ้าก๊อซใหม่ได้ การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์จะช่วยให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ค่ะ
ถอนฟันกี่ชม.ถึงกินได้
หลังถอนฟัน การรับประทานอาหารควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันแผลเปิดและให้ลิ่มเลือดก่อตัวอย่างเหมาะสม นี่คือคำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ควรรับประทานอาหารและประเภทอาหารที่เหมาะสม:
กินได้เมื่อไหร่หลังถอนฟัน?
- รออย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ก่อนเริ่มรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม เพื่อให้ลิ่มเลือดที่แผลเริ่มก่อตัว
- หากยังมีอาการชา จากยาชา ควรรอจนกว่าความรู้สึกกลับมาเป็นปกติ (ประมาณ 1-2 ชั่วโมง) เพื่อป้องกันการกัดลิ้นหรือแก้มโดยไม่รู้ตัว
อาหารที่เหมาะสมหลังถอนฟัน
- ช่วง 24 ชั่วโมงแรก:
- เน้นอาหารอ่อน เช่น โยเกิร์ต ซุปข้น โจ๊ก หรือสมูทตี้
- ควรรับประทานอาหารที่ เย็นหรืออุณหภูมิห้อง เช่น ไอศกรีม (หลีกเลี่ยงรสจัด) เพื่อช่วยลดการอักเสบและบวม
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวบริเวณที่ถอนฟัน
- หลัง 1-2 วัน:
- หากไม่มีอาการปวด สามารถเพิ่มอาหารนิ่มๆ เช่น ไข่คน เต้าหู้ หรือข้าวต้ม
- ควรเลี่ยงอาหารร้อนจัด อาหารแข็ง หรือเหนียว เช่น ขนมปังแข็ง หรือเนื้อเหนียว เพราะอาจทำให้แผลเปิด
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- หลีกเลี่ยง เครื่องดื่มร้อน ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพราะความร้อนอาจทำให้เลือดไหลซ้ำ
- ห้ามใช้หลอดดูด เพราะการดูดจะทำให้ลิ่มเลือดหลุดและเสี่ยงต่อการเกิด Dry Socket
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้แผลหายช้าลง
สรุป
คุณสามารถเริ่มกินได้ หลังจาก 2-3 ชั่วโมง เมื่อยาชาหมดฤทธิ์ แต่ให้เริ่มจากอาหารอ่อนและเย็นก่อน เมื่อผ่านไป 1-2 วันจึงค่อยเพิ่มอาหารปกติ แต่ยังคงต้องระวังไม่ให้กระทบกับแผลโดยตรงนะคะ
ก่อนถอนฟันห้ามกินอะไร
ก่อนถอนฟัน ทันตแพทย์อาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มบางอย่างที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้การถอนฟันเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงต่อปัญหาที่อาจเกิดขึ้น มาดูกันว่าควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง:
1. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มก่อนถอนฟัน (เฉพาะบางกรณี)
- ถ้าต้องใช้ยาสลบหรือยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป
- ห้ามกินอาหารหรือดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ก่อนการถอนฟัน เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนระหว่างหรือหลังการรักษา
- หากเป็นเพียงการใช้ ยาชาเฉพาะจุด สามารถรับประทานอาหารเบาๆ ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารหนักก่อนทำทันที
2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
- แอลกอฮอล์: ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง และอาจรบกวนฤทธิ์ของยาที่ใช้ในการถอนฟัน
- คาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ): อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกมากกว่าปกติ
3. หลีกเลี่ยงอาหารมันหรือย่อยยาก
- อาหารมันหรือย่อยยากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ โดยเฉพาะถ้าต้องใช้ยาสลบหรือยาระงับความรู้สึก
4. งดสูบบุหรี่
- ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ก่อนการถอนฟัน เพราะนิโคตินจะทำให้หลอดเลือดหดตัวและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก
5. งดการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่มีความร้อนจัด
- การรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนเกินไปก่อนถอนฟันอาจทำให้เหงือกไวต่อการสัมผัสและเจ็บง่าย
สรุป
หากต้องใช้ยาสลบหรือยาระงับความรู้สึก ควร งดอาหารและน้ำ 6-8 ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนล่วงหน้า ส่วนถ้าใช้แค่ยาชาเฉพาะที่ คุณสามารถทานอาหารเบาๆ ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารหนักใกล้เวลาถอนฟัน เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยค่ะ
ถอนฟันกรามเป็นรู
หลังจากการถอนฟันกราม มักจะเกิด โพรงหรือช่องว่าง ที่จุดที่ฟันถูกถอนออก เนื่องจากรากฟันที่ฝังลึกในกระดูกขากรรไกร เมื่อฟันถูกดึงออกจึงเหลือเป็นรูหรือหลุมไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีข้อควรระวังเพื่อให้แผลหายเร็วและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น Dry Socket (ถุงเลือดแห้ง)
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการถอนฟันกราม
- เกิดรูที่แผล:
- รูหรือหลุมที่เกิดขึ้นเป็นโพรงที่ฟันเคยอยู่ ลิ่มเลือดจะก่อตัวเพื่อปิดรูนั้น ซึ่งจะช่วยให้แผลเริ่มฟื้นตัว
- รูนั้นจะค่อยๆ หายและกระดูกกับเนื้อเยื่อเหงือกจะสร้างตัวขึ้นใหม่เต็มพื้นที่ ใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับความลึกของรากฟัน
- อาการปวดและบวม:
- ปกติจะมีอาการปวดและบวมในช่วง 2-3 วันแรก และจะดีขึ้นตามลำดับ
- หากปวดรุนแรงเกินไปหรือปวดเพิ่มหลัง 3-4 วัน อาจเสี่ยงเป็น Dry Socket
วิธีดูแลรูแผลหลังถอนฟันกราม
- กัดผ้าก๊อซ:
- กัดผ้าก๊อซประมาณ 30-60 นาที เพื่อช่วยห้ามเลือดและส่งเสริมการก่อตัวของลิ่มเลือด
- หลีกเลี่ยงการบ้วนน้ำแรงๆ:
- ไม่ควรบ้วนน้ำแรงๆ หรือดูดเครื่องดื่มจากหลอดใน 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้ลิ่มเลือดหลุด
- ประคบเย็น:
- ใน 24 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นบริเวณแก้มด้านที่ถอนฟัน เพื่อลดบวม
- ทำความสะอาดแผลเบาๆ:
- วันที่สองเป็นต้นไป บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น (น้ำ 1 แก้วผสมเกลือ 1/2 ช้อนชา) วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้แปรงฟันหรือแหย่ที่รูแผล
- อาหารอ่อน:
- ควรรับประทานอาหารนิ่มๆ เช่น โจ๊ก ซุป หรือไข่คน และหลีกเลี่ยงอาหารแข็งที่อาจไปกระทบแผล
ภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง (Dry Socket)
- ถ้าลิ่มเลือดไม่ก่อตัวหรือหลุดออก อาจเกิด Dry Socket ซึ่งทำให้รู้สึกปวดมากและแผลหายช้าลง
- อาการ: ปวดรุนแรง มีลมหายใจมีกลิ่นไม่ดี หรือเห็นโพรงกระดูกในแผล
- หากสงสัย ควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษา
สรุป
รูที่เกิดหลังถอนฟันกรามจะค่อยๆ หายไปตามธรรมชาติ ใช้เวลาหลายสัปดาห์จนกระดูกและเหงือกฟื้นตัวเต็มที่ การดูแลแผลอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาทันตแพทย์ทันทีค่ะ
โรคเหงือก ในกรณีที่มีการติดเชื้อหรือโรคเหงือกที่รุนแรง ฟันที่ได้รับผลกระทบอาจต้องถูกถอนเพื่อรักษาสุขภาพช่องปาก
ฟันที่แตกหัก ฟันที่ได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถรักษาได้อาจต้องถูกถอนออก
ถอนฟันอุบลราชธานี มีปัญหาเรื่องฟันอย่าปล่อยไว้ ปรึกษาที่คลินิกได้หรือจะแอดไลน์มาสอบถามก็ได้นะคะ
ถอนฟันกินอะไรแผลหายเร็ว
หลังถอนฟัน การรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยให้แผลหายเร็ว ลดการอักเสบ และป้องกันปัญหาภาวะแทรกซ้อน มาดูกันว่าอาหารประเภทไหนที่ควรกินและหลีกเลี่ยงค่ะ:
อาหารที่ควรกิน เพื่อช่วยให้แผลหายเร็ว
- อาหารอ่อนและย่อยง่าย
- โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปใส หรือซุปข้น: ไม่ต้องเคี้ยวมาก ลดแรงกระทบกับแผล
- ไข่คน หรือ เต้าหู้: ย่อยง่ายและมีโปรตีนสูง ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- ผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ต
- โยเกิร์ต (อุณหภูมิห้อง): ช่วยเพิ่มโปรไบโอติกส์ เสริมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ
- นม และ โปรตีนเชค: ให้พลังงานและสารอาหารโดยไม่ต้องเคี้ยว
- ผลไม้และผักบดหรือปั่น
- กล้วยบด หรือ อะโวคาโด: มีวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยซ่อมแซมแผล
- สมูทตี้: ผสมผลไม้และผักในรูปแบบน้ำปั่น เพิ่มวิตามินซีซึ่งช่วยในการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูแผล
- ไอศกรีมและเจลลี่
- ไอศกรีม (ไม่มีช็อกโกแลตหรือเมล็ดติดฟัน): ความเย็นช่วยลดการอักเสบ
- เจลลี่: รับประทานง่ายและไม่ต้องเคี้ยว
- น้ำซุปกระดูก
- มีคอลลาเจนและแร่ธาตุ ช่วยเสริมการสร้างเนื้อเยื่อใหม่และฟื้นฟูแผล
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังถอนฟัน
- อาหารร้อนจัด
- เช่น ซุปหรือเครื่องดื่มร้อน เพราะความร้อนจะกระตุ้นให้เลือดไหลและอักเสบ
- อาหารแข็งหรือเหนียว
- เช่น ถั่ว เมล็ดพืช ขนมปังกรอบ เพราะอาจไปกระทบแผลและทำให้ลิ่มเลือดหลุด
- อาหารรสจัดและเผ็ด
- อาจระคายเคืองแผลและทำให้เกิดการอักเสบ
- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
- เช่น กาแฟและเหล้า เพราะจะขัดขวางการฟื้นฟูแผลและเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- การใช้หลอดดูดน้ำ
- การดูดจะสร้างแรงดันในช่องปาก ทำให้ลิ่มเลือดที่ปิดแผลหลุดได้
เคล็ดลับเพิ่มเติมในการช่วยแผลหายเร็ว
- ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีและป้องกันการติดเชื้อ
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น (วันละ 2-3 ครั้ง) ช่วยฆ่าเชื้อและลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินจะทำให้แผลหายช้าและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด Dry Socket
สรุป
การเลือกกินอาหารอ่อนและเย็น รวมถึงอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง จะช่วยให้แผลหลังถอนฟันหายเร็ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง ร้อน และรสจัด รวมถึงการดูดหลอดในช่วงแรกๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดหลุดออกค่ะ
หลังถอนฟันบ้วนปากได้ตอนไหน
หลังถอนฟัน การบ้วนปากอย่างระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการหลุดของลิ่มเลือดที่ปิดแผล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นตัวของแผล มาดูกันว่าควรบ้วนปากเมื่อไรและวิธีดูแลอย่างไรให้ถูกต้อง:
ควรบ้วนปากเมื่อไหร่?
- 24 ชั่วโมงแรก
- ห้ามบ้วนปาก ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังถอนฟัน เพราะลิ่มเลือดที่ปิดแผลยังไม่แข็งแรง หากบ้วนปากเร็วเกินไปอาจทำให้เลือดไหลซ้ำ และเสี่ยงต่อการเกิด Dry Socket (ถุงเลือดแห้ง)
- หลังจาก 24 ชั่วโมง
- คุณสามารถเริ่มบ้วนปากได้เบาๆ โดยใช้น้ำเกลืออุ่น (น้ำ 1 แก้ว ผสมเกลือครึ่งช้อนชา)
- ควร บ้วนปากเบาๆ โดยการกลั้วน้ำเบาๆ แล้วปล่อยให้น้ำไหลออกเอง หลีกเลี่ยงการบ้วนแรง
ความถี่ในการบ้วนปากหลัง 24 ชั่วโมง
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น วันละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะหลังอาหาร เพื่อล้างเศษอาหารและป้องกันการติดเชื้อ
- ทำอย่างต่อเนื่องจนกว่าแผลจะปิดสนิทหรือจนกว่าทันตแพทย์จะแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องบ้วนอีก
ข้อควรหลีกเลี่ยง
- ห้ามใช้ยาน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์ ในช่วงแรก เพราะอาจระคายเคืองแผล
- หลีกเลี่ยงการ ดูดน้ำจากหลอด เพราะแรงดันจากการดูดอาจทำให้ลิ่มเลือดหลุด
สัญญาณที่ควรระวัง
- หากหลัง 2-3 วันยังมีเลือดไหลไม่หยุด หรือมีอาการปวดรุนแรงขึ้น ให้รีบกลับไปพบทันตแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของ Dry Socket หรือการติดเชื้อ
สรุป
บ้วนปากได้หลังจาก 24 ชั่วโมง ด้วยน้ำเกลืออุ่นและควรทำเบาๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการกระทบลิ่มเลือด รักษาความสะอาดช่องปากอย่างเหมาะสม จะช่วยให้แผลหายเร็วและลดโอกาสการติดเชื้อค่ะ
หลังถอนฟันควรทําอย่างไร
หลังถอนฟัน การดูแลแผลอย่างถูกต้องจะช่วยลดอาการปวด ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น มาดูกันว่า ขั้นตอนการดูแลแผล หลังการถอนฟันควรทำอย่างไรบ้าง:
1. กัดผ้าก๊อซเพื่อห้ามเลือด
- กัดผ้าก๊อซประมาณ 30-60 นาที เพื่อช่วยหยุดเลือด
- หากเลือดซึมออกมาอีก สามารถเปลี่ยนผ้าก๊อซและกัดใหม่ได้ แต่ไม่ควรกัดนานเกิน 1 ชั่วโมงต่อครั้ง
2. พักผ่อน
- หลังถอนฟัน ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักใน 24 ชั่วโมงแรก
- พยายาม นอนยกศีรษะสูง ด้วยหมอน 1-2 ใบ เพื่อลดอาการบวม
3. ประคบเย็นเพื่อลดบวม
- ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก ให้ใช้ ผ้าห่อถุงน้ำแข็ง ประคบที่แก้มด้านที่ถอนฟัน ประมาณ 15-20 นาทีต่อรอบ ช่วยลดอาการบวมและปวด
4. หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนลิ่มเลือด
- ห้าม บ้วนน้ำแรงๆ หรือใช้ หลอดดูด ใน 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้ลิ่มเลือดที่ปิดแผลหลุดออก
- หลีกเลี่ยง การสูบบุหรี่ หรือ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะขัดขวางการฟื้นฟูแผล
5. เริ่มบ้วนปากเบาๆ หลัง 24 ชั่วโมง
- หลังผ่านไป 1 วัน บ้วนปากด้วย น้ำเกลืออุ่น (น้ำ 1 แก้วผสมเกลือ 1/2 ช้อนชา) วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยล้างแผลและป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้ น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์
6. การรับประทานอาหาร
- ควรรับประทานอาหาร อ่อนและเย็น เช่น โจ๊ก ซุป ไอศกรีม
- หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว ร้อนจัด หรือรสจัด ที่อาจกระทบแผล
- พยายามเคี้ยวอาหารด้วยฟันด้านที่ไม่ได้ถอน
7. รับประทานยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง
- หากทันตแพทย์จ่ายยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะ ควรรับประทานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ยาที่มักใช้ ได้แก่ พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน เพื่อลดอาการปวดและบวม
8. ติดตามอาการและกลับไปพบแพทย์หากจำเป็น
- หากมีอาการดังนี้ ให้รีบกลับไปพบทันตแพทย์:
- เลือดยังคงไหลต่อเนื่องหลังจาก 4-6 ชั่วโมง
- มีอาการปวดรุนแรงผิดปกติ (อาจเกิดจาก Dry Socket)
- บวมมากผิดปกติ หรือมีไข้สูง
สรุป
การดูแลแผลหลังถอนฟันเน้นการ ห้ามเลือด รักษาความสะอาด ลดการกระทบแผล และพักผ่อนให้เพียงพอ การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์จะช่วยให้แผลหายเร็ว ลดโอกาสการติดเชื้อ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนค่ะ
ถอนฟันควรเว้นระยะกี่วัน
การถอนฟันแต่ละซี่อาจต้องเว้นระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้แผลฟื้นตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อน มาดูกันว่า ควรเว้นระยะกี่วัน และสิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อถอนฟันหลายซี่:
กรณีถอนฟันซี่เดียว
- โดยทั่วไป: หากฟันซี่เดียวถูกถอนออก แผลจะเริ่มสมานตัวภายใน 7-10 วัน และกระดูกจะฟื้นตัวเต็มที่ภายใน 6-8 สัปดาห์
- คุณสามารถ ถอนฟันซี่อื่นได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแผลซี่แรกและความพร้อมของร่างกาย
กรณีถอนฟันหลายซี่ (เช่น การเตรียมจัดฟัน)
- ทันตแพทย์อาจถอนหลายซี่พร้อมกันได้ แต่หากถอนทีละซี่ มักจะเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้แผลฟื้นตัวระหว่างแต่ละซี่
- สำหรับฟันคุดหรือฟันกรามซี่ใหญ่ อาจต้องการ ระยะเวลาฟื้นตัวนานขึ้น ประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนถอนซี่ถัดไป
กรณีที่ต้องถอนฟันเร่งด่วน (ฟันติดเชื้อ)
- หากมีอาการติดเชื้อ ทันตแพทย์อาจต้องรอให้การอักเสบหรือการติดเชื้อดีขึ้นก่อนถอนฟันซี่ต่อไป โดยปกติจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ ขึ้นกับการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ
หลังถอนฟันควรสังเกตอาการต่อไปนี้
- หากมีอาการบวม ปวด หรือเลือดไหลไม่หยุด ควรให้แผลหายดีเสียก่อนที่จะถอนฟันซี่อื่น
- ปรึกษาทันตแพทย์หากต้องการถอนฟันหลายซี่ในระยะเวลาใกล้กัน เพราะบางกรณีอาจต้องวางแผนพิเศษ
สรุป
โดยทั่วไป ควรเว้นระยะประมาณ 1-2 สัปดาห์ ระหว่างการถอนฟันแต่ละซี่เพื่อให้แผลฟื้นตัวดี หากมีการถอนหลายซี่หรือฟันซี่ใหญ่ อาจต้องการระยะเวลานานขึ้น การปรึกษาทันตแพทย์อย่างละเอียดจะช่วยวางแผนการถอนฟันอย่างเหมาะสมค่ะ
ถอนฟันกี่วันถึงจะแปรงฟันได้
หลังถอนฟัน ควรดูแลความสะอาดช่องปากอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและไม่ให้ลิ่มเลือดที่ปิดแผลหลุดออก มาดูกันว่าควรเริ่มแปรงฟันได้เมื่อไหร่และวิธีดูแลให้เหมาะสม:
ควรเริ่มแปรงฟันได้เมื่อไหร่?
- วันแรกหลังถอนฟัน:
- หลีกเลี่ยงการแปรงบริเวณแผลในวันแรกเพื่อป้องกันการกระทบกับลิ่มเลือดที่ปิดแผล
- แปรงฟันเฉพาะบริเวณที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างเบาๆ เพื่อรักษาความสะอาดในช่องปาก
- วันที่สองหลังถอนฟัน:
- สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ ยกเว้นบริเวณแผล
- ระวังอย่าให้แปรงสัมผัสแผลโดยตรง และหลีกเลี่ยงการกดแปรงแรงๆ ในบริเวณใกล้เคียง
การดูแลเพิ่มเติมเพื่อรักษาความสะอาดแผล
- เริ่มบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น
- วันที่สองเป็นต้นไป ให้บ้วนปากด้วย น้ำเกลืออุ่น (น้ำ 1 แก้วผสมเกลือครึ่งช้อนชา) วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ
- บ้วนปากเบาๆ ห้ามบ้วนแรง เพราะอาจทำให้ลิ่มเลือดหลุด
- หลีกเลี่ยงน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์
- น้ำยาบ้วนปากบางชนิดอาจทำให้แผลระคายเคือง ควรเลือกชนิดที่อ่อนโยนหรือใช้น้ำเกลือแทนในช่วงแรก
- อย่าใช้หลอดดูด
- ห้ามใช้หลอดดูดน้ำหรือดูดอาหารในช่วง 2-3 วันแรก เพราะการดูดอาจทำให้ลิ่มเลือดหลุดออก
ข้อควรระวังระหว่างการแปรงฟัน
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มเพื่อลดแรงกระแทก
- หากรู้สึกปวดหรือระคายเคืองในบริเวณแผล ควรหยุดแปรงบริเวณนั้นชั่วคราวและปรึกษาทันตแพทย์หากจำเป็น
สรุป
หลังถอนฟัน ควรหลีกเลี่ยงการแปรงบริเวณแผลในวันแรก และเริ่มแปรงฟันเบาๆ ได้ตั้งแต่วันที่สอง โดยไม่กดแปรงแรงใกล้แผล การบ้วนปากด้วยน้ำเกลือจะช่วยรักษาความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้นค่ะ
ไม่ควรถอนฟันตอนไหน
การถอนฟันไม่ควรทำในบางสถานการณ์ เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรือทำให้แผลหายช้า มาดูกันว่า ช่วงเวลาและเงื่อนไขใดบ้างที่ไม่ควรถอนฟัน:
1. ช่วงที่มีการติดเชื้อหรืออักเสบเฉียบพลัน
- หากบริเวณฟันมีการติดเชื้อหรือมีหนอง ทันตแพทย์อาจเลื่อนการถอนฟันออกไปจนกว่าการอักเสบจะลดลง
- ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจให้ ยาปฏิชีวนะ เพื่อควบคุมการติดเชื้อก่อน
2. ขณะเป็นไข้หรือไม่สบาย
- หากร่างกายอ่อนแอ เช่น มีไข้หรือป่วย ควรเลื่อนการถอนฟันออกไปจนกว่าจะหายดี เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันพร้อมต่อการฟื้นตัวจากแผล
3. ช่วงตั้งครรภ์ (ไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้าย)
- ช่วง 3 เดือนแรก และ 3 เดือนสุดท้าย ของการตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการถอนฟันเพราะเสี่ยงต่อการแท้งหรือคลอดก่อนกำหนด
- หากจำเป็นต้องถอนฟัน ควรทำในช่วง ไตรมาสที่สอง (เดือนที่ 4-6) และปรึกษาทันตแพทย์พร้อมกับสูตินรีแพทย์
4. ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังและยังควบคุมอาการไม่ได้
- เช่น ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ หากอาการยังไม่คงที่ ทันตแพทย์อาจเลื่อนการถอนฟันและขอคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทาง
- เบาหวานที่ควบคุมไม่ดีอาจทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
5. ช่วงที่กำลังใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่รับประทานยาเช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน หรือยาละลายลิ่มเลือด ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะเสี่ยงต่อการมีเลือดออกมากหลังถอนฟัน
- แพทย์อาจแนะนำให้หยุดยาชั่วคราว (ภายใต้การดูแลของแพทย์)
6. ช่วงมีประจำเดือน
- ในบางคน ช่วงมีประจำเดือนอาจทำให้การแข็งตัวของเลือดลดลงเล็กน้อย จึงควรเลื่อนการถอนฟันออกไปหากไม่เร่งด่วน
7. หลังการปลูกถ่ายอวัยวะหรือรับยาเคมีบำบัด
- ผู้ที่เพิ่งปลูกถ่ายอวัยวะหรือได้รับเคมีบำบัดควรหลีกเลี่ยงการถอนฟันในช่วงที่ภูมิคุ้มกันต่ำ
- ทันตแพทย์จะพิจารณาเป็นกรณีไป โดยประสานกับแพทย์ผู้ดูแลคนไข้
8. ช่วงหลังฉีดวัคซีนใหม่ๆ
- ควรรอให้ร่างกายปรับตัวจากการฉีดวัคซีนก่อน เนื่องจากภูมิคุ้มกันอาจอ่อนแอชั่วคราวหลังการฉีด
สรุป
ควรเลื่อนการถอนฟันออกไปหากมีการติดเชื้อเฉียบพลัน สุขภาพไม่พร้อม หรืออยู่ในภาวะที่เสี่ยง เช่น ตั้งครรภ์ ไข้ หรือการใช้ยาที่ส่งผลต่อเลือด ควรปรึกษาทันตแพทย์และแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนการถอนฟันเสมอค่ะ